ร้อนทะลุปรอท!! 6 คำถาม "บิ๊กตู่" ทำ"นกม."พล่าน ขณะเสียงจากกัลยาณมิตรเตือน ปรับ ครม.รอบนี้ต้องกำจัดจุดอ่อน-ไม่เช่นนั้นลำบากทั้งคณะ

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th


ร้อนทะลุปรอททีเดียว สำหรับคำถาม 6 ข้อที่ "บิ๊กตู่" โยนออกมาโดยบอกว่า...ถามประชาชน และจะว่าไปแล้วหลายข้อก็กระแทกไปที่นักการเมืองเต็ม ๆ ทำนักการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ โดยเฉพาะเพื่อไทยที่ถือว่าอยู่ขั้วตรงข้ามโดยตรง ถึงกับดิ้นพล่าน ดาหน้าออกมาตอบโต้ทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงเตือนจากกัลยาณมิตรผู้ห่วงใย ในอาการสะดุดขาตัวเองของรัฐบาล คสช.หลายต่อหลายครั้งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ระบุชัดปรับ ครม. รอบนี้ต้องกำจัดจุดอ่อนที่เป็นตัวถ่วง และสร้างแต่เรื่องยุ่งยากให้รัฐบาล ซึ่งหลายต่อหลายเรื่องทำลายศรัทธาที่ประชาชนมอบให้อย่างยากจะเรียกคืน ไม่เช่นนั้น 1 ปีที่เหลืออาจอยู่ยาก และส่อจะลำบากกว่านั้นในช่วงพ้นจากอำนาจ

 

โดย 6 คำถามที่ "บิ๊กตู่" หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะคสช. โยนออกมานั้นหากขมวดให้เข้าใจเป็นภาษาชาวบ้าน ก็ต้องบอกเลยว่า...ออกไปในโทนถามประชาชนตรง ๆ ว่า “ถ้า คสช. จะตั้งพรรค หรือสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด ประชาชนจะเอาด้วยมั้ย??” พร้อมย้อนถามประชาชนอีกว่า ตลอดเวลา 3 ปีที่ คสช. บริหารประเทศ  ประชาชนมองเห็นอนาคตที่ดีหรือไม่ แล้วรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแบบที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ ความมีธรรมาภิบาล ในการพัฒนาประเทศเพียงพอหรือไม่ ก่อนจะตบท้ายว่า แล้วเหตุใด พรรคนักการเมืองจึงออกมาเคลื่อนไหวบิดเบือนข้อเท็จจริงในช่วงนี้มากปกติ เพราะอะไร??

 

แน่นอน พลันที่คำถามทั้งหมดถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน ซึ่งว่ากันว่า "บิ๊กตู่" ถึงกับคิด และตั้งคำถามด้วยตนเอง ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่มาช่วยพิมพ์ และแจกให้สื่อมวลชน พรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรค ทั้งเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ต่างออกมารุมถล่มกรณีนี้กันเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะเพื่อไทยนั้น แม้แต่นักการเมืองชั้นรอง ๆ อย่าง ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกพรรคฯ ยังออกมาชกข้ามรุ่น แบบหวังผลยกระดับให้ตัวเองด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่า คำถาม 6 ข้อเป็นคำถามที่ไม่ฉลาด และสะท้อนความไร้ยางอายทางการเมือง อยากมีอำนาจแต่ไม่อยากแข่งขัน เลยจ้องจะเอาเปรียบคนอื่น ฯลฯ อะไรทำนองนั้น

 

นอกจากนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงานยุคยิ่งลักษณ์ 1 ผู้พยายามอ้างว่า ตนเองเป็นกูรูด้านเศรษฐกิจ ก็กระโจนออกมาทันทีเช่นกัน โดยเขาระบุว่า คำถาม6 ข้อของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคำถามที่น่าจะสะท้อนความสับสนของผู้ถาม ไม่แน่ใจว่ามีจุดประสงค์ในการถาม 6 คำถามนี้ เพราะอะไร ต้องการที่จะอยู่ต่อ หรือไม่ต้องการตั้งพรรคทหารของ คสช. เองใช่หรือไม่หรือ ฯลฯ

 

ขณะที่ทางด้านพรรคตประชาธิปัตย์ นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน อดีต ส.ส.ปชป. ก็ได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ทำนอง ตนไม่แน่ใจว่านายกฯ เข้าใจถึงกระบวนการประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน และเข้าใจหรือไม่ว่าพรรคการเมืองสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา และทำให้นึกย้อนไปถึงพรรคเสรีมนังคศิลาและการเลือกตั้งเมื่อปีพ.ศ.2500 และเชื่อว่าประชาชนมองเห็นสิ่งดีๆ ที่รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการไว้ตามสมควร แต่ก็เชื่อว่า ประชาชนก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ตนไม่แน่ใจว่าคุณประยุทธ์มองเห็นหรือไม่เช่นกัน ฯลฯ 


ขณะที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า  การถามคำถามอย่างนี้ตนให้ศูนย์คะแนน และคงต้องกลับไปถามนายกฯ ว่าต้องการความสงบเรียบร้อยแบบในเรือนจำ หรือ ต้องการความวุ่นวายแบบในตลาดสด เพราะประชาธิปไตยมีความวุ่นวายเหมือนในตลาดสด ซึ่งอาจจะมีการตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก แต่นี่คือประชาธิปไตย ทั้ง 6 ข้อที่ถามมานี้ ผมอยากไปตอบให้นายกฯ ฟังในที่สาธารณะว่า นายกฯ สอบตกที่ถามคำถามเหล่านี้มาก แสดงถึงความไม่เข้าใจประชาธิปไตย คำถามเหล่านี้ไม่ควรถาม เหมือนไปเปรียบเทียบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร อะไรดีกว่ากัน ซึ่งเหมือนกับถามว่า ผู้หญิงกับผู้ชาย อะไรดีกว่ากัน ถามอย่างนี้ไม่ตีกันตายหรือ แล้วนายกฯ จะถามทำไม


 

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง คำถาม 6 ข้อของนายกฯ ที่เพิ่มอุณหภูมิทางการเมืองให้ร้อนขึ้นไปถึงระดับเฉียดปรอทแตก เกิดขึ้นในห้วงยามเดียวกับกระแสปรับ "ครม. บิ๊กตู่ 5" อย่างแยกกันไม่ออก...จนอาจจะกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพราะไม่กี่วันก่อนหน้านี้ หลัง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ยื่นหนังสือลาออกกับ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้ว กระแสการปรับ ครม. ก็ดังกระหึ่มขึ้นทันที แม้แต่ตัวนายกฯ เองก็เปรยถึงเรื่องนี้ด้วยตนเอง

 

ซึ่งผู้สันทัดกรณีหลายคนที่เป็นกัลยาณมิตรของรัฐบาล คสช. ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปรับ ครม. รอบนี้ นายกฯ ต้องแสดงความกล้าหาญในการตั้งคนที่จะทำงานได้จริง ๆ เข้ามา อย่าเห็นแก่พวกพ้อง เพราะโอกาสมาถึงแล้ว ดังที่ นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) ได้เคยออกมาให้ความเห็นกรณีนี้ว่า ตนเห็นว่าถึงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ก่อนประกาศปลดล็อก และกำหนดวันเลือกตั้ง โดยการปรับ ครม.ทั้งคณะ เพราะในขณะนี้โอกาสกลับมาเข้าทางนายกฯ อีกครั้งแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะมีความกล้าหาญหรือไม่ เพราะนอกจากรัฐมนตรีบางคนขอลาออกแล้ว ยังเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

 

รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต ยังระบุด้วยว่า ต้องยอมรับว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา มีรัฐมนตรีหลายกระทรวงสอบไม่ผ่าน และพิสูจน์แล้วว่า การเอาทหารมาเป็น ครม.มากเกินไปไม่ตอบโจทย์ ทำให้ปัญหาพุ่งกดดันไปที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ เพียงคนเดียว เพราะยังมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นอยู่ ที่สำคัญการปรับ ครม.โค้งสุดท้ายต้องไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวคน หรือย้ายสลับเก้าอี้ แต่ต้องกล้าเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองในการแก้ปัญหาด้วย โดยนอกจากรัฐมนตรีแต่ละคนต้องรับผิดชอบงานในกระทรวงของตัวเองแล้ว ควรบูรณาการกลุ่มงาน ครม.เพื่อรับผิดชอบปัญหาในแต่ละกลุ่มงาน อาทิ กลุ่มงานปฏิรูปประเทศ กลุ่มงานแก้ปัญหาปากท้องเฉพาะหน้า กลุ่มงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กลุ่มงานปรองดองสมานฉันท์ 

 
"อยากให้ถือเอาการปรับ ครม.ครั้งนี้เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศด้วย แต่ถ้านายกฯ มองข้ามโอกาสนี้ไปก็เป็นเรื่องน่าเสียดายจนอาจหมดเวลาแก้ตัวไปในที่สุด" นายสุริยะใส ให้ความเห็น


ความเห็นของนายสุริยะใส ดูจะสอดคล้องกับผู้สันทัดกรณีอีกหลายต่อหลายคนที่มองว่า การปรับครม.รอบนี้ น่าจะเป็นการปรับครั้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. ก่อนจะมีการเลือกตั้งในอีก 1 ปีกว่า ๆ ข้างหน้า แต่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่า อยู่ในช่วงความนิยมของ คสช. วูบลงอย่างมาก  เห็นได้จากผลโพลล์สำนักต่างๆ ก็ระบุเช่นนั้น ดังนั้น ผู้รู้จึงมองว่า รอบนี้ นายกฯ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเน้นเฟ้นหาคนมีฝีมือมาสร้างผลงานให้ความนิยมกระเตื้อง มิเช่นนั้น...ในอีกปีกว่าข้างหน้า รัฐบาลอาจอยู่ยาก ทำงานลำบาก เพราะประชาชนเริ่มไม่ไว้วางใจ (อ้างอิงจากผลโพลล์) รวมทั้งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำจัดจุดอ่อนบางประการออกไป ซึ่งเรื่องนี้หลายต่อหลายคนคงเข้าใจในปัญหานี้ดี


แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั่น...ก็อยู่ที่นายกฯ บิ๊กตู่คนเดียวว่าจะตัดสินใจเช่นรัฐ...ในการพารัฐนาวาไปข้างหน้า...ท่ามกลางเสียงเชียร์ว่าให้โละยกแผงไปเลย นายกฯ จะแสดงความกล้าหาญดังที่กัลยาณมิตรเรียกร้อง ในเวลา 1 ปีกว่า ๆ นับจากนี้หรือไม่...ต้องรอดู