วิบากกรรม “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” เส้นทางสู่ “ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว” ที่เริ่มโรยด้วยหนามกุหลาบ !! เสื่อมเสียเพราะคำข้อครหาเรื่อง “ส่วย” ??

    ยังคงเฝ้าเกาะติดตอเนื่องสำหรับเส้นทางในการรับราชการตำรวจของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจท่องเที่ยว หรือที่รู้จักกันในนาม “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ ” จะโรยด้วยกรีบกุหลาบมาโดยตลอด เพราะนายพลตำรวจหนุ่มคนนี้ เป็นผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ และเป็นทราบกันทั่วว่าเขาเป็นคนสนิทพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กลับต้องมามีชื่อพัวพันเรื่อง “ส่วย” แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็อาจจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวข้อง ซึ่งก้จะวนมาถึงชื่อเสียง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ในทางอ้อม


    และถึงวันนี้เส้นทางก็ไม่น่าจะโรยด้วยกรีบกุหลาบอีกต่อไปหรือไม่?? เพราะก่อนหน้านี้เมื่อ 31 ตุลาคม 2560  เพจชื่อดัง Spotlight Phuket นายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี หรือโจ้ สปอตไลท์ ภูเก็ต ให้สัมภาษณ์รายการวิทยุ ท้าชน “พ.ต.อ.สุรเชษฐ์”โดยขอให้พิสูจน์เรื่องตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ตรับส่วยและรีดไถผู้ประกอบการ/นักท่องเที่ยว เดือนละกว่า 100 ล้านบาท มีจริงหรือไม่? ได้มีการท้าทายถึงขั้น อมอุจจาระสุนัข เลียชักโครกบ้าน“พ.ต.อ.สุรเชษฐ์” พร้อมยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

    กรณีตำรวจท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต พัวพันกับเรื่องส่วยและรีดไถประชาชน บางช่วงบางตอนว่า.. มีตัวเลขรายการรับส่วยและรีดไถ เฉพาะพื้นที่ อ.ป่าตอง ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อเดือน เป็นเงินที่มาจากการกดขี่ ข่มเหงกลุ่มแรงงานต่างด้าว การใช้ช่องว่างทางกฎหมายกับกลุ่มสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และกลุ่มสถานบันเทิง ถ้าจะให้เจาะลึกชัดๆ เช่น แรงงานต่างด้าวชาวเนปาลที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย ทำมาหากินขายของใน อ.ป่าตอง มีประมาณ 1,000 คน แต่ละคนต้องส่งส่วยให้ตำรวจท่องเที่ยวคนละ 8,000 บาทต่อเดือน เงินเข้ากระเป๋าตำรวจท่องเที่ยวเฉพาะจุดนี้จุดเดียว 8,000,000 บาท

 “..และในหนังสือก็ระบุชื่อนายตำรวจตัวแสบ 2 คน ระดับ พ.ต.อ.และพ.ต.ต. ยังไม่รวมลูกน้องปลายแถว และมาเฟียนักเลงท้องถิ่นที่พร้อมจะเป็นมือเป็นเท้าในการเดินทางไปเก็บส่วยให้ และคนที่นั่นเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “หมาของนาย” หรือฝรั่งจะเรียกว่า “ โรโบขอบ” (robocope) “

เป็นสาเหตุในการ ขอท้าชนนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ คือท่านผู้การโจ๊ก พลตำรวจตรี สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจท่องเที่ยว ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่า ภูเก็ตไม่มีตำรวจท่องเที่ยวรับส่วยและรีดไถชาวบ้าน/ผู้ประกอบการจริงๆ ตนจะยอมทำตามที่สัมภาษณ์กับรายการสืบจากข่าว คือ ไปเลียชักโครก และไปอมอุจจาระสุนัขบ้านท่านผู้การโจ๊ก 

และดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังจบ!!  ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 พ.ย. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร) จัดเสวนา"ขบวนการส่วยตำรวจไทย หายนะภัยของชาติและประชาชน! " ร่วมอภิปรายโดยนายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี หรือโจ้ สปอร์ตไลท์ภูเก็ต พร้อมตัวแทนผู้ประกอบการที่ถูกเรียกเก็บส่วย นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และพ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ

         บางช่วงนายธรรมรัตน์ กล่าวว่า ตนนำหลักฐานเรื่องส่วยของ จ.ภูเก็ต มาร้องเรียนจเรตำรวจและนายกรัฐมนตรี ถึงปัญหาขบวนการจ่ายส่วยใน 5 พื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นทราบว่าได้มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจย้ายออกจากพื้นที่แล้ว ในอดีตที่จ.ภูเก็ต มีการเก็บส่วยสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา การขายของละเมิดลิขสิทธิ์ และแรงงานต่างด้าว โดยไม่กี่หน่วยลงไป และไม่เป็นเงินสูงเหมือนปัจจุบันซึ่งพื้นที่ละ 8-12 ล้านบาทต่อเดือน เช่น ที่อ.ป่าตอง ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต อ.สะเดา อ.ด่านนอก จ.สงขลา อ.ระนอง จ.ระนอง อีกทั้ง การซื้อขายตำแหน่งผู้กำกับสถานีตำรวจพื้นที่หนึ่ง เป็นเงิน 40 ล้านบาท เงินส่วยก็ได้ 7-8 ล้านบาท ถูกเก็บไว้เอง แต่หน่วยอื่นไม่ได้ จึงทำให้หน่วยอื่นต้องไปทำรายงาน แม้สภาวะเศรษฐกิจขึ้นๆลงๆ และจ.ภูเก็ตเป็นเมืองบริโภค อ่อนไหวกับสภาพการเงินประเทศ แต่สวนทางตำแหน่งผู้กำกับสถานีตำรวจที่ไม่มีลงตามเศรษฐกิจ มีแต่มาเก็บส่วยส่งไปเรื่อยๆ ซึ่งหนักขึ้นในช่วงปีนี้ ส่วยแรงงานต่างด้าวเป็นบ่อเกิดของการเรียกเก็บสินบนที่สำคัญมาก เนื่องจากกฎหมายมีความลักลั่น แรงงานต่างด้าวต้องมาทำใบอนุญาตการทำงาน จากที่เคยจ่ายเดือนละ1,000-1,500 บาท ตอนนี้เป็นคนละ 10,000 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะเป็น โชคชะตา หรือ วิบากกรรมของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้หรือไม่ เพราะการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจท่องเที่ยว” หนทางที่ว่า ต่อจากนี้อาจจะต้องโรยด้วย “หนาม”กุหลาบ เสียแล้ว  หากไม่มีการปฏิวัติ หรือพิสูจน์ ตนเอง และผู้ใต้บังคับบัญชา ว่า..มือใส ใจสะอาด คงจากเปลี่ยนเรื่องยาก ที่คนไทยจะยอมรับ แน่นอนตำรวจเป็นข้าราชการที่ทำงานใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดหน่วยงานหนึ่ง ประชาชนจึงสัมผัสได้ ถึงการทำงานในมุมมิติ ทุกแง่มุม รวมทั้งในแง่ลบหลากหลายรูปแบบ ถึงแม้ตำรวจจะพยายามทำงานในเชิงบวก แต่ก็ยังไม่สามารถลบภาพออกไปจากความรู้สึกของคนไทยได้ 

และการทุจริต รับส่วย ทำนองดังกล่าว อาจจะมีอยู่ทั่วไป  อีกจำนวนมาก อีกหลายๆจังหวัด ที่ยังไม่ปรากฏเป็นข่าวใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแค่ “ภูเก็ต โมเดล” เป็นเพียง ยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ เพียงปลายแหลมก็เป็นได้  และความหวังเล็กของสังคมยังให้ความคาดหวังที่จะเห็นการปฏิรูปตำรวจ สามารถเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจาก การปฏิรูปตำรวจครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีบัญญัติเรื่องการปฏิรูปตำรวจไว้ในรัฐธรรมนูญ.  ที่สังคมอยากเห็น ถ้าครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ ก็เป็นเรื่องยาก ที่จะคาดหวังอะไรได้อีก