ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เพจความจริง และ www.tnews.co.th

     "เล็บ" มีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้นิ้ว และส่วนนี้จะไม่มีเส้นประสาทอยู่ ทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเกิดโรคขึ้นกับเล็บ แต่ถ้าเกิดโรคนั้นกินเข้าไปถึงผิวหนังแล้วล่ะก็ "เล็บ" ก็สร้างความปวดร้าวให้เจ้าของเล็บสุด ๆ เลย โดยเฉพาะ "เล็บขบ" (Unguis Incarnatus) โรคเล็บที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก ๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิด "เล็บขบ" ได้ก็คือ
 

 

     1. การใส่รองเท้าที่บีบมากเกินไป เพราะจะทำให้เนื้อที่อยู่ด้านข้างของเล็บถูกบีบเข้ามา เล็บก็เลยไปกดเนื้อด้านข้าง เมื่อเล็บงอกมันก็จะงอกลึกลงไปในเนื้อ ทำให้รู้สึกเจ็บปวด นอกจากนี้ การใส่รองเท้าส้นสูงเกินไป ปลายเท้าแหลมเกินไป ก็ทำให้เท้าถูกบีบจนเล็บงอกตามปกติไม่ได้ ต้องกินเข้าไปในเนื้อ

     2. การตัดเล็บไม่ถูกวิธี หลายคนตัดเล็บด้านข้างเป็นมุมแหลมชิดเนื้อ หรือลึกเกินไปนั่นเอง ทำให้เล็บงอกใหม่ไปทิ่มที่ซอกเล็บ จนเกิดแผลและมีอาการปวดตามมา หรือบางคนชอบแต่งเล็บให้โค้งเข้าในซอกเล็บมากเกินไป และชอบแคะ ขูด งัดซอกเล็บบ่อย ๆ 

     3. การติดเชื้อราที่เล็บ

     4. อุบัติเหตุ เช่น ปลายนิ้วเท้าชอบไปชนอะไรบ่อย ๆ ทำให้เล็บฉีกขาดแทงเข้าไปในซอกเล็บได้ หรือการเล่นกีฬา เช่น เทนนิส แบดมินตัน ฟุตบอล บาสเกตบอล ซึ่งทำให้กระดูกนิ้วทำงานหนัก

     5. การมีเล็บเท้าที่กว้างกว่าปกติ หรือเกิดจากการที่นิ้วเท้ามาซ้อนเกย หรือเบียดกัน
 

"มากิซูเมะ โรโบ" เครื่องมือแก้ปัญหาเล็บขบที่ถูกคิดค้นมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยวิธีการทำงานของมันคือ

     1.นำขาของเครื่องไปเกี่ยวไว้ใต้เล็บขบทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งแกนตรงกลางจะยึดเล็บเอาไว้

     2.จากนั้นให้ทำการหมุนตัวแกนด้านบนขาที่เกี่ยวเล็บจะทำการรั้งเล็บของคุณให้ขึ้นมา

     3.แช่เท้าในน้ำ ทิ้งไว้ 20 นาที เพื่อให้เล็บอ่อนตัว

     4.ทำการหมุนแกนอีกครั้งเพราะเล็บที่ถูกแช่ในน้ำจะอ่อนตัวลงเพื่อให้เลิกกดจิกเนื้อ

     5.นำไดร์เป่าลมที่เล็บเพื่อให้เล็บแข็งตัวกลับคืนสู่สภาพเดิม

หมั่นดูแลและสังเกตุเล็บอยู่เสมอหากเล็บของเรางุ้มกดจิกเนื้ออีกก็ทำแบบนี้อีกครั้ง แล้วเล็บของคุณจะไม่เป็นเล็บขบอีกต่อไป

สุดเจ๋ง!! อุปกรณ์แก้ปัญหาเล็บขบด้วยตัวเองใน 30 นาที ไม่ต้องถอดเล็บให้เจ็บปวดอีกต่อไป เล็บขบหายขาดไปตลอดกาล ควรมีติดบ้านไว้!! (ชมคลิป)

 

สุดเจ๋ง!! อุปกรณ์แก้ปัญหาเล็บขบด้วยตัวเองใน 30 นาที ไม่ต้องถอดเล็บให้เจ็บปวดอีกต่อไป เล็บขบหายขาดไปตลอดกาล ควรมีติดบ้านไว้!! (ชมคลิป)

 

 

 

 

 

ขอบคุณขอมูลจาก : health.kapook