เคสตัวอย่าง!!รับใช้ระบอบทักษิณ "บุญทรง"รับกรรมเพิ่ม!! ขณะ2พี่น้องอยู่สุขสบาย..เจอแบบนี้มีใครจะกล้ารับใช้อีกไหม??

เคสตัวอย่าง!!รับใช้ระบอบทักษิณ "บุญทรง"รับกรรมเพิ่ม!! ขณะ2พี่น้องอยู่สุขสบาย..เจอแบบนี้มีใครจะกล้ารับใช้อีกไหม??

เรียกได้ว่าเวรซ้ำกรรมซัด จริงๆ สำหรับชะตากรรม นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ขณะนี้ต้องโทษอยู่ในเรือนจำ กว่า 3เดือนแล้ว ภายหลังที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับโทษคดีการทุจริตในโครงการระบายข้าวแบบจีทูจี หรือ รัฐต่อรัฐ ในการทำหน้าที่โดยมิชอบโดยการฮั้วประมูล โดยมีคำสั่งให้จำคุก 42 ปี

 

โดยเกี่ยวข้องในคดีการทุจริตในโครงการระบายข้าวแบบจีทูจี หรือ รัฐต่อรัฐ ในการทำหน้าที่โดยมิชอบโดยการฮั้วประมูล ทำให้การเสนอประมูลราคาข้าวที่ถูกจัดขึ้นถูกเสนอราคาที่ไม่เป็นธรรม ทำให้เป็นจุดสนใจกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงนำมาซึ่งการไตร่สวนและถูกศาลพิพากษาดังกล่าว แต่ล่าสุดอัยการคดีจำนำข้าวจ่อร้องศาลฎีกาฯ ให้ไต่สวนลับหลัง หมอโด่ง “พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ” - นายสุธี เชื่อมไธสง หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการทุจริตในครั้งนี้ ซึ่งได้หลบหนีไปต่างประเทศ แล้ว พร้อมยื่นอุทธรณ์โกงจีทูจี เพิ่มโทษ นายบุญทรง" 

 

เมื่อวัยที่23 พ.ย.60 นายวันชาติ สันติกุญชร อธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการและโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงการยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้พิจารณาคดีต่างๆ ในศาลต่อไปในคดีที่ไม่มีตัวจำเลยเพราะหลบหนีหลังจากถูกออกหมายจับว่า ล่าสุดที่ตรวจสอบในส่วนของคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกลุ่มนักการเมือง, ข้าราชการ และเอกชน รวม 27 ราย ร่วมทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) นั้น มีจำเลยที่หลบหนีระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาฯ 2 คน คือ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 และนายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ 16 ทั้งนี้ ทราบจากคณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบคดีระบายข้าวจีทูจีว่า จะเสนออัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับคดีของนายทักษิณ ชินวัตร

นายกิตินันท์ ธัชประมุข อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หนึ่งในคณะทำงานอัยการรับผิดชอบจำนำข้าวและระบายข้าวจีทูจี กล่าวถึงความคืบหน้าการอุทธรณ์ระบายข้าวจีทูจีว่า หลังจากที่คณะทำงานอัยการเสนอความเห็นทางคดีต่อนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุดแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอัยการสูงสุดเห็นชอบการยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าว คณะทำงานอัยการจึงได้ยื่นคำอุทธรณ์คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีต่อศาลฎีกาฯ แล้ว หลังจากนี้ศาลจะดำเนินการส่งคำอุทธรณ์ให้จำเลยทำคำแก้อุทธรณ์ต่อไป

นายกิตินันท์กล่าวถึงประเด็นการยื่นอุทธรณ์ว่า อัยการได้ยื่นอุทธรณ์คดีในส่วนของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 2 (จำคุก 42 ปี) ซึ่งอัยการเห็นว่าการกระทำของนายบุญทรงยังมีความผิดที่มีส่วนร่วมอนุมัติแก้ไขสัญญาระบายข้าวฉบับที่ 1 ที่มีการแก้ไขสาระสำคัญหลายครั้ง แม้ว่าสัญญาระบายข้าวจะเริ่มมาก่อนที่นายบุญทรงจะเข้ารับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ จึงให้ศาลพิพากษาลงโทษเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วยจากโทษที่ได้ตัดสินไว้แล้ว

สำหรับวิบากกรรมาของนายบุญทรง ไม่ได้มีแค่โทษจำคุกเพียงนั้น ยังมีคำสั่งของกระทรวงพาณิชย์ลงวันที่ 19 ก.ย.59 เรื่องให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น โดยให้บังคับคดีกับนายบุญทรงพร้อมพวก  ทว่าตัวเลขความเสียหายมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น นายบุญทรง ต้องรับผิดชอบ 1,770 ล้านบาท นายภูมิ 2,300 ล้านบาท และอีก 4 คนที่เหลือ คนละ 4,000 ล้านบาท 

        

อย่างไรก็ตามวิบากอันหนักหน่วงจากเหตุทุจริตที่นายบุญทรงต้องเผชิญอยู่ ล้วนมาจากนโยบายประชานิยม “โครงการจำนำข้าว” ของพี่น้องตะกลูชินวัตร ที่”ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ บุญทรงซวย”  นายทักษิณ และน.ส. ยิ่งลักษณ์ กลับหลบหนีคดีออกนออกประเทศ ไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในต่างประเทศ ไม่ว่าจะประเทศอังกฤษ ดูไบ หรือมอนเตเนโกรก็ต่าง ล้วนมีบ้านหลังใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีเงินตราใช้ไม่ขาดมือ 

 

    วันนี้จึงต้องกลับมาทบทวนกันเสียหน่อยว่า แท้ที่จริงเกิดขึ้นจากใคร?? ..โครงการรับจำนำข้าว  เป็นหนึ่งในนโยบายจากความคิดของนายทักษิณ ที่ใช้หาเสียงจนสามารถเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งปี54  ต่อมารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงต่อรัฐสภาว่า จะดำเนินนโยบายจำนำข้าวทั้งนาปีและนาปรัง โดยข้าวนาปีในฤดูการผลิตปี 2554/2555 เริ่มตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2554 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2555 ของกระทรวงพาณิชย์ 2555

เมื่อช่วง เม.ย. 55 นายทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ถึงนโยบายจำนำข้าวว่า นโยบายจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย คือ นโยบายที่ดีและเป็นประโยชนต่อชาวนามากที่สุด

"ต่อให้คิดใหม่กี่ครั้งนโยบายนี้ก็เลิกไม่ได้ เพราะเราต้องการให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวให้เรากินต้องอยู่ได้และควรมีรายได้ขั้นต่ำเพื่อจะได้มีคนปลูกข้าวเลี้ยงเราต่อไป" 

 

   

       

กับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ จึงทำให้หวนนึกถึง บทความที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร  กับวลีเด็ด เพราะ‘กูพูดไม่ได้’!  บางช่วงบางตอนระบุว่า..

"จน 'เพื่อน' เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผมเป็นเลขาธิการนายกฯ ได้เจอกันบ้าง แวะไปคุย เห็นเพื่อนแฟ้มเต็มโต๊ะ ยังเป็นห่วง 'ใครดูให้มึง แต่ละเรื่องน่ากลัว' ผมแอบพลิกแฟ้มดู

'กูมีทีม' แล้วชวนทานข้าวจากโรงอาหาร หน้าห้องสั่งมาให้ ยังคงความเป็นคนง่ายๆ ที่ผมรู้จัก ถึงแม้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่

เวลานายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศ บางทีได้คุยกัน ได้ปรับทุกข์ผูกมิตรกันมากกว่าอยู่กรุงเทพฯ แต่ในแววตา 'เพื่อน' มีความกังวล

ช่วงวิกฤติ ผมงานหลายด้าน แต่ก็ไม่วายห่วงเพื่อน ส่งเรื่องจากทำเนียบฯ ก็คอยเตือนว่าเรื่องไปแล้วรีบจัดการ เราเป็นเพียง 'เสมียน' ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด แต่รู้สึกเสมอว่าเพื่อน 'ไม่สบายใจ' หลังพายุพัดผ่าน รัฐประหารไปแล้ว เคยนั่งจิบไวน์คุยกันสองคน

ผมถาม? 'มึงเล่าให้กูฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง' ผมนับถือน้ำใจมันที่ตอบ 'กูพูดไม่ได้'

 

ในวันนี้คนไทยทั้งประเทศก็ได้รู้แจ้งเห็นจริง กับสิ่งที่นายบุญทรงต้องรับกรรมที่พี่น้องตระกูลชินวัตร ได้มอบให้ โดยการหักหลังอย่างเลือดเย็น อีกทั้งทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่ง หน้าที่ ยศถาบรรดาศักดิ์  ที่เคยได้มั่งได้มีสุดท้ายก็กลับมาสู่ดิน น่าอดสู ..ฉะนั้นก็ต้องตั้งคำถามกับนายสุรนันทน์ ที่เห็นและเข้าใจพัฒนาการของนายบุญทรงเป็นอย่างดี เจอแบบนี้แล้วยังจะอยากรับใช้พรรคเพื่อไทย และระบอบทักษิณอยู่อีกหรือไ่ม่