ไม่มีได้-มีแต่เสีย และระวังจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว?! "กสม." จี้ปล่อยตัวม็อบต้านโรงไฟฟ้าเทพา ถามไหนบอกจะยึดมั่นเรื่องสิทธิมนุษยชน

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

ไม่มีได้-มีแต่เสีย?! "กสม." จี้ปล่อยตัวม็อบต้านโรงไฟฟ้าเทพา ถามไหนบอกจะยึดมั่นในแนวปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน

 

วันนี้ (28 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นางเตือนใจ ดีเทศน์ พร้อมด้วย นางอังคณา นีละไพจิตร ได้ร่วมกันแถลงแสดงความเห็นต่อกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำร้าย และจับกุมกลุ่มแกนนำเครือข่ายประชาชนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ระหว่างจัดกิจกรรมเดินเท้ารณรงค์คัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพา เพื่อเข้ายื่นหนังสือคัดค้านโครงการฯ ต่อนายกรัฐมนตรีวานนี้ 

 

โดยนางเตือนใจ ได้อ่านแถลงการณ์ว่า โครงการโรงไฟฟ้าเทพา เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งมีข้อท้วงติงว่าอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างรุนแรงและกว้างขวาง ไม่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดปัตตานี แต่จะขยายไปยังพื้นที่ใกล้เคียงด้วย ซึ่ง กสม. ได้ดำเนินการตรวจสอบและอยู่ระหว่างการจัดทำรายงาน เบื้องต้นพบมีปัญหาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร การจัดกระบวนการการมีส่วนร่วมและสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบกระทบโดยตรง อันเป็นเหตุของการเดินเท้าเพื่อเข้ายื่นหนังสือคัดค้านโครงการฯ ต่อนายกรัฐมนตรี

 

ทั้งนี้ กสม.เห็นว่า การดำเนินกิจกรรมดังกล่าวยังอยู่ในขอบเขตของการใช้สิทธิในการแสดงความเห็นและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนอย่างสงบตามรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม กสม. จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทบทวนการแจ้งข้อกล่าวหา แก่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และดำเนินการทางกฎหมายอย่างรอบคอบบนพื้นฐานของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และนายกฯควรเปิดโอกาสให้เครือข่ายฯได้เข้าพบ เพื่อนำเสนอข้อห่วงใยและข้อเสนอในการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืนต่อรัฐบาลโดยสงบและปราศจากการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ

 

นอกจากนี้ กสม.ขอให้รัฐบาลและหน่วยงานเจ้าของโครงการยึดมั่นในแนวปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ภายใต้หลักการ เคารพ คุ้มครอง และเยียวยา รวมทั้งคำประกาศวาระแห่งชาติ : สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เป็นแนวทางในการดำเนินโครงการด้วย โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

 

 

นางเตือนใจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่พบว่าจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่กินพื้นที่สามพันไร่ ต้องมีการย้ายประชาชนกว่า 240 ครอบครัว รวมถึงมัสยิด วัด และกุโบร์ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 58 กสม.ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบจัดทำรายงานเสนอแนะต่อรัฐบาล ซึ่งในพื้นที่มีทั้งกลุ่มที่คัดค้านและสนับสนุนให้มีการก่อสร้าง โดยกลุ่มคัดค้านห่วงเรื่องวิถีชีวิต เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่คนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน จึงเกรงว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะกระทบกับความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล รัฐบาลจึงควรรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึง รายงานของต่างประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการหาแหล่งพลังงาน ที่มีการยุติใช้พลังงานถ่านหินไปแล้ว

 

ขณะที่นางอังคณา กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า แม้ขณะนี้เราจะมีพระราชบัญญัติชุมนุมในที่สาธารณะ แต่รัฐธรรมนูญก็คุ้มครองในเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ดำเนินการโดยสงบและไม่รุนแรง การจัดกิจกรรมเมื่อวานมีทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและคัดค้าน แต่ภาพที่ออกมากลายเป็นว่ากลุ่มที่สนับสนุนได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ 

 

"แต่กลุ่มที่คัดค้านถูกขัดขวาง จะถือว่าเข้าข่ายเลือกปฏิบัติหรือไม่ อีกทัี้งผู้ร่วมกิจกรรมมีทั้งเด็กและสตรี เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าระงับการเคลื่อนไหวกลับไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงเข้าปฏิบัติหน้าที่ สะท้อนว่ารัฐไม่มีการคำนึงถึงความอ่อนไหวในเรื้่องเพศสภาพ นอกจากนี้ไทยก็ยอมรับข้อเสนอในการที่จะคุ้มครองสิทธิของนักต่อสู้ ดังนั้นจึงหวังว่ารัฐบาลจะปล่อยตัวแกนนำที่ถูกควบคุมไว้โดยเร็ว และไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา" นางอังคณา  กล่าว