ผิด หรือ ไม่ ตระกูล "รักศรีอักษร" ถือหุ้น การท่าฯ ..?

ร่วมหาคำตอบได้ใน  เพจ Richman can do
       

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)  AOT หรือ  ทอท.ดำเนินธุรกิจท่าอากาศยานของประเทศไทย โดยประกอบด้วย การจัดการ การดำเนินงาน และการพัฒนาท่าอากาศยาน โดยมีท่าอากาศยานในความรับผิดชอบ 6 แห่ง คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งนี้ ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ
 สมบัติล้ำค่าของการท่า คือ สนามบินสุวรรณภูมิ  จึงถูกเพ่งเล็งมาก และคนทั่วไปมักตั้งคำถามว่า ใครได้ประโยชน์จากสนามบิน สุวรรณภูมิ ซึ่งเค้กก้อนใหญ่ของ สุวรรณภูมิ คือ พื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบิน ที่การท่าฯเปิดให้เอกชนเช่าทำธุรกิจ ดิวตี้ ฟรี ที่สนามบิน สุวรรณภูมิ  และสนามบินดอนเมือง ซึ่งบริษัทที่ประมูลได้คือ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำกัด ของ วิชัย ศรีวัฒนประภา นามสกุลเดิม (รักศรีอักษร) 

คงไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ ที่คนในตระกูล ศรีวัฒนประภา  คือ  อัยยวัฒน์  และ วรมาศ ศรีวัฒนประภา  เข้าไปถือหุ้นใน AOT ซึ่ง 2 คนถือรวมกันแล้วประมาณ 1.43% เพราะ AOT แม้เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ก็เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเปิดให้คนทั่วไปเข้ามาซื้อ ขาย หรือ ลงทุนในหุ้นของบริษัทได้
สังคมคงไม่ตั้งคำถามหรือจับตามองมาก ถ้า ตระกูลศรีวัฒนประภา  ไม่ใช่บริษัทคู่ค้ากับ การท่าฯ ดังนั้นเมื่อคนในตระกูลเข้าไปถือหุ้นในกิจการที่เป็นผู้ให้สัมปทาน  จึงถูกมองว่า อาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ขัดแย้ง conflict of interest แต่ถ้ามองจำนวนหุ้นที่  2 คนในตระกูล ศรีวัฒนประภา ถือใน AOT จะเห็นว่า มีเพียง 1.43% 
ขณะที่ คลัง ผู้ถือหุ้นใหญ่มี 70% กุมเสียงและกุมการบริหารได้ทั้งหมด เพราะสนามบินของประเทศเป็นเรื่องของความมั่นคง รัฐบาลไม่สามารถปล่อยให้ใครก็ตาม มาถือหุ้นจำนวนมากได้ แม้จะเป็นบริษัทมหาชน ทางการก็ยังคงต้องถือหุ้นใหญ่ไว้ให้ได้มากที่สุด เช่น ทุก กิจการรัฐวิสาหกิจที่เข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนั้น การท่าฯเป็นกิจการที่สร้างรายได้ให้รัฐบาลมาก เพราะเหมือนผูกขาด ไม่เปิดให้เอกชนแข่งขันในการทำสนามบิน การท่าฯจึงเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้ดี สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับทางการ โดยเฉพาะในเรื่องของเงินปันผล 

มาดูผลดำเนินงานของการท่าฯ งวดปี 59/60 (ต.ค.59-ก.ย.60) มีกำไรสุทธิ 2.07 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.07% จากงวดปี 58/59 ที่มีกำไรสุทธิ 1.93 หมื่นล้านบาทในปี 59/60 บริษัทมีรายได้รวม 5.67 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.88% จากปีก่อน โดยรายได้จากการขายหรือให้บริการเพิ่ม 7.73% ทำให้ การท่าฯมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีงามมาก  ก่อนที่การท่าจะแตกพาร์หุ้นบริษัทในปี 60 นี้ จาก 10 บาท เหลือ 1  บาท  ปี 2559 ปันผล  6.80 บาท ซึ่งจ่ายสูงมาก 
 

ดังนั้นคนที่ได้รับประโยชน์จากการท่าฯมากสุดคือ คลัง ที่รับเงินปันผลเต็มๆ คลังถือ  1,000,000,000 หุ้น  เท่ากับว่า ปีที่แล้วคลังได้ปันผลไปกว่า 683 ล้านบาท(จากจำนวน 100 ล้านหุ้น เพราะปีที่แล้วยังไม่ได้แตกพาร์) และผลประกอบการปี 2560 นี้ AOT ประกาศปันผลหุ้นละ 0.86 บาท เนื่่องจากแตกพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท  ถึงได้เห็นว่า คลังมีถึง 1,000,000,000 หุ้น ก็เท่ากับว่า ปี 60 นี้คลังจะได้ปันผลจากการท่าฯประมาณ 860 ล้านบาท เช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นรายอื่นก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี ตามสัดส่วนในการถือหุ้น AOT
มาดูผู้ถือหุ้นใหญ่ของ AOT ประกอบด้วย . 1.คลัง จำนวน 1,000,000,000 หุ้น คิดเป็น 70.00%  2.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด    49,548,504 หุ้น    คิดเป็น 3.47% 3. STATE STREET BANK EUROPE LIMITED 27,325,682 หุ้น คิดเป็น 1.91 % 4. LITTLEDOWN NOMINEES LIMITED 19,053,600 หุ้น คิดเป็น    1.33 % 5. CHASE NOMINEES LIMITED    18,267,347 หุ้น คิดเป็น 1.28%  6. THE BANK OF NEW YORK MELLON    17,919,700 หุ้น คิดเป็น 1.25% 7. สำนักงานประกันสังคม 17,275,900 หุ้น คิดเป็น 1.21%  8. NORBAX, INC.    12,686,607 หุ้น คิดเป็น 0.89%  9. นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา 11,460,000 หุ้น คิดเป็น    0.80%  10. น.ส.วรมาศ ศรีวัฒนประภา 9,059,600 คิดเป็น 0.63%  11. STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY    8,632,761 หุ้น คิดเป็น    0.60% 12. GIC PRIVATE LIMITED 7,456,713 หุ้น คิดเป็น 0.52%  13. กองทุนเปิด กรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล 7,359,600   คิดเป็น 0.52% 14. HSBC (SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD 7,222,944 หุ้น คิดเป็น 0.51%

 ดังนั้นจึงมองอีกมุมได้ว่า การที่   ศรีวัฒนประภา  เข้ามาถือหุ้นใน AOT โดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะ เป็นสิทธิที่ทำได้ นอกจากนั้นในเมื่อเป็นผู้เช่าพื้นที่ของการท่าฯ จ่ายเงินค่าเช่าให้ AOT มาตลอด ก็เข้ามาถือหุ้นด้วยในสัดส่วนที่ไม่ผิดกฎหมาย เพื่อรับเงินปันผล ก็เหมือนกับว่า เอาเงินจากการลงทุน คืน ในรูปแบบเงินปันผล ในเมื่อรู้อยู่แล้ว AOT เป็นธุรกิจที่ดี สร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น ดีกว่าเอาเงินไปฝากแบงก์ที่ดอกเบี้ยไม่ถึง 50 สตางค์ ก็เอาเงินมาลงทุนกับหุ้น AOT แทน   จึงเหมือน อัฐยายซื้อขนมยาย ใช่ หรือ ไม่  .......