5 สัญญาณวุ่นๆ เลื่อน’เลือกตั้ง’เผย ปัจจัย ขยับโรดแมป ‘สงสัยจะไม่ได้หย่อนบัตร พ.ย.61 แล้ว’

แม้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จะประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ทว่าจนถึงวันนี้ พรรคการเมืองก็ไม่สามารถดำเนินการเรื่องต่างๆให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการประชุมพรรค เตรียมสมาชิกพรรค ดำเนินการรับเงินบริจาค ฯลฯ  เนื่องด้วยยังติดประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ว่าด้วยการห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง ที่เป็นเหมือนเกราะ ครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง
 
ก่อนหน้า พ.ร.บ.พรรคการเมืองจะประกาศใช้ ดูเหมือน คสช.ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้า คสช. ต่างออกมาให้ความหวังแก่นักการเมือง โดยบอกว่า เมื่อกฎหมายประกาศใช้แล้วก็จะมีการปลดล็อกพรรคการเมืองต่อไป กระทั่งต่อมาเมื่อกฎหมายประกาศใช้จริง คสช.ได้อ้างงานสำคัญอันได้แก่ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จนกระทั่งงานสำคัญดังกล่าวผ่านพ้นไป ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร กลับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยังมีความพร้อม

แม้จะทราบดีว่าใน พ.ร.บ.พรรคการเมือง มีกรอบเวลาให้พรรคการเมืองดำเนินการเรื่องต่างๆอย่างจำกัด เช่น การแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคที่เปลี่ยนแปลง ภายใน 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนด วันที่ 5 มกราคม 2561 นี้  กระนั้น ผู้กุมอำนาจกลับทำเป็นเฉย จนอดคิดไม่ว่านอกจากที่อ้างความไม่สงบเรียบร้อยแล้ว ยังมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่อีกหรือเปล่า
 
เมื่อเป็นเช่นนั้น สังคมจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า แล้วการเลือกตั้งจะเป็นไปตามโรดแมปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 หรือไม่ เพราะวันนี้มีสัญญาณแปลกๆอยู่หลายเรื่อง ที่ดูแล้วมีผลทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปได้
 
1.ข้อเสนอแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องตลกพอสมควร เพราะ พ.ร.บ.นี้ยังไม่ทันได้ใช้ก็จะแก้ไขเสียแล้ว  เนื่องจากหากพรรคการเมืองไม่สามารถดำเนินการทันกรอบเวลาที่ พ.ร.บ.พรรคการเมือง กำหนดไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด จะอ้างว่าติดคำสั่ง คสช.ก็แล้วแต่ ถ้าหากพรรคการเมืองทำไม่ทัน พรรคการเมืองจะสิ้นสภาพไป
 
ดังนั้น จึงต้องมีการแก้ไขกฎหมายขยายเวลาให้พรรคการเมือง เช่นว่า กรอบเวลา 90 ในการตรวจสอบสมาชิกพรรค ก็อาจขยายไปอีกกี่วันก็แล้วแต่ความต้องการ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายใช่ว่าจะเสร็จเพียงวันเดียว เพราะมีกระบวนการอยู่หลายขั้นตอนด้วยกัน ฉะนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งสัญญาณว่าการเลือกตั้งอาจเลื่อนออกไป
 
2.ข้อเสนอของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมือง ด้วยการเซ็ตซีโร่สมาชิกพรรคใหม่ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า พรรคการเมืองเก่าได้เปรียบพรรคการเมืองใหม่ เนื่องจากมีสมาชิกพรรคเดิมอยู่แล้ว ต่างจากพรรคการเมืองใหม่ที่ต้องหาสมาชิกใหม่ทั้งหมด
 
เพื่อความเป็นธรรม จะต้องโล๊ะสมาชิกพรรคใหม่ทั้งหมด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง นอกจากจะต้องเสียเวลากับการแก้ไขกฎหมายแล้ว ยังต้องให้เวลาในการหาสมาชิกพรรคมากเป็นพิเศษ ซึ่งการเลือกตั้งก็จะต้องเลื่อนออกไปยาวนานเป็นพิเศษด้วย
 
3.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา อดีตรองนายกรัฐมนตรี เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมือง ด้วยการให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค โดยให้ ส.ส.เป็นอิสระเพื่อความปรองดอง นอกจากนี้ยังต้องไม่มี ส.ส.แบบระบบบัญชีรายชื่อ โดยให้มีแต่ ส.ส.แบ่งเขตเท่านั้น แม้ข้อเสนอนี้จะเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม หากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) รับมาพิจารณา ประเด็นดังกล่าวก็จะเป็นเครื่องมือถ่วงเวลาเป็นอย่างดี
 
4.ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเห็นว่าเวลานี้ “บิ๊กตู่” ให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่พบปะประชาชนมากเป็นพิเศษ การลงพื้นที่ของนายกฯเวลานี้ไม่ต่างกับนักการเมืองเวลาหาเสียง ที่จะมีการนั่งรถอีแต๊ก ถือไมโครโฟนพูดกับพี่น้องประชาชน  ชิมขนมจากฝีมือชาวบ้าน ร่วมกิจกรรมกับชาวบ้าน ฯลฯ ทุกวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินสายไปต่างจังหวัดเฉลี่ย 2 สัปดาห์ต่อครั้ง นับว่าถี่มาก ถี่จนสื่อหลายสำนักตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นการปูทางวางแผนอยู่ยาวหรือเผื่อเลื่อนเลือกตั้ง
 
5.ไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง การที่ปลดล็อกการเมืองนับเป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆที่จะส่งผลให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป เนื่องด้วยพรรคการเมืองติดข้อห้ามตามประกาศ คสช.จึงยังไม่สามารถจัดกระบวนทัพเตรียมการเลือกตั้งได้ ทั้งนี้ แม้ในอนาคตจะมีการแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมือง โดยขยายเวลากรอบต่างๆ แต่หากไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองได้ดำเนินการตามบทบัญญัติกฎหมาย ทุกอย่างย่อมไม่มีความหมาย และการเลือกตั้งย่อมไม่มีวันเกิดขึ้น

ทั้งหมดเป็นเรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นเรื่องวุ่นๆที่มีนัยยะสำคัญ ถือเป็น 5 ปัจจัยที่มีผลให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปได้