รับได้หรือไม่ ถ้า บีทีเอส ขึ้นค่าตั๋ว ?

ทำไม คนไทยต้องนั่งรถไฟฟ้าแพง ติดตามเพจRichman can do

จะซ้ำเติมกันไปถึงไหน ทุกวันนี้ค่าครองชีพก็แพงอยู่แล้ว อยากไปเร็วต้องนั่งรถไฟฟ้า ถ้าบีทีเอสขึ้นราคาอีก ประชาชนอย่างเราจะทำไงดี..

รับได้หรือไม่ ถ้า บีทีเอส ขึ้นค่าตั๋ว ?

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) ชี้แจงกรณีตามที่มีข่าวระบุว่า บริษัทฯจ่อขึ้นราคาค่าโดยสารหลังเปิดใช้ระบบตั๋วร่วม หรือบัตรแมงมุมเพื่อเชื่อมกับระบบขนส่งมวลชนอื่นโดยใช้บัตรเพียงใบเดียวนั้น ไม่มีมูลความจริงแต่ประการใด พร้อมย้ำให้ความร่วมมือกับรัฐในการจัดทำตั๋วร่วมเต็มที่ เพราะได้ร่วมมือกับทางภาครัฐมาตั้งแต่ต้นและเป็นรายแรกในการเซ็นบันทึกความเข้าใจ MOU หรือบันทึกความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทำระบบตั๋วร่วม
 

รับได้หรือไม่ ถ้า บีทีเอส ขึ้นค่าตั๋ว ?

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้พยายามในการที่จะให้ระบบตั๋วร่วมสามารถใช้ร่วมกับบัตร Rabbit ได้ และในอนาคต เมื่อมีส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าอีกหลายสาย ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าเป็นสายสีเขียวด้วยกันจะไม่มีค่าแรกเข้า ส่วนสายสีอื่นๆจะมีค่าแรกเข้า บริษัทฯพร้อมที่จะหารือร่วมกับทุกฝ่ายและทางภาครัฐเรื่องค่าแรกเข้าเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
"การจัดทำตั๋วร่วมของรัฐบาลไม่มีผลกับการปรับขึ้นค่าโดยสารบีทีเอส เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ที่รัฐบาลจะพิจารณาร่วมกับเอกชนผู้ให้บริการทุกราย บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการจัดทำตั๋วร่วมมาตั้งแต่ต้นไม่ว่าเอกชนรายใดจะถอนตัวออกไป บริษัทฯก็ยังคงร่วมงานกับรัฐ โดยเฉพาะระบบบัตรบัตรแมงมุมที่พัฒนาระบบเปิดไว้ให้บัตรโดยสารของผู้ให้บริการทุกรายสามารถเชื่อมต่อกับบัตรแมงมุมได้โดยง่าย ไม่ใช่เฉพาะของบีทีเอสเพียงรายเดียว"

รับได้หรือไม่ ถ้า บีทีเอส ขึ้นค่าตั๋ว ?

ส่วนการปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร สายสุขุมวิท และสายสีลม บริษัทฯ ได้ปรับค่าโดยสารครั้งล่าสุดที่ผ่านมาเมื่อเดือน ต.ค.60 ซึ่งสัญญาสัมปทานกำหนดให้บริษัทฯสามารถปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บได้ทุก 18 เดือนแต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสาร ดังนั้นจึงขอให้ผู้ใช้บริการวางใจได้ว่าบริษัทฯ จะยังไม่มีการเรียกเก็บหรือปรับราคาค่าโดยสารในขณะนี้แต่อย่างใด
สุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้ารถไฟฟ้าขบวนใหม่ที่ได้ลงนามสั่งซื้อไปเมื่อเดือน พ.ค.59 จำนวน 46 ขบวน 148 ตู้มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาทกับ บริษัทซีเมนส์ จำกัด 22 ขบวน จะทยอยเข้ามาในปี 61 และบริษัท ฉางชุน เรลเวย์ เวฮิเคิล จำกัด 24 ขบวน จะทยอยมาถึงเมืองไทยจนครบ ในปี 62 โดยขบวนแรก จะเข้ามาประมาณเดือนพฤษภาคม ปี 61 เพื่อจะมาทดสอบระบบต่างๆ ทั้งนี้เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสถิติสูงสุดของผู้โดยสารเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 60 ที่ผ่านมา มีจำนวน 918,109 เที่ยวคนซึ่งเป็นสถิติใหม่ล่าสุด

บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการดำเนินงานในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 60/61-64/65) เติบโตเฉลี่ย  27% ต่อปี ส่วนใหญ่จากธุรกิจขนส่งมวลชนและธุรกิจสื่อ โดบปี 64/65 คาดมีรายได้อยู่ที่ 26,785 ล้านบาท จากปี 59/60 ที่มีรายได้ 8,175 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้จากธุรกิจขนส่งมวลชน ตั้งเป้า 5 ปี รายได้ค่าโดยสารเติบโตเฉลี่ย 49% ต่อปี มาอยู่ที่ 6,959 ล้านบาท เป็นรายได้หลักจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง จากปี 59/60 มีรายได้อยู่ที่ 945 ล้านบาท