กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ

กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ

กำเนิดเครื่องราง

    ก่อนที่จะมีศาสนาเกิดขึ้นบนโลก มนุษย์เราเชื่อถืออะไร ยึดมั่นในสิ่งไหน เคารพต่อสิ่งใด คำถามนี้ตอบได้ไม่ง่ายนัก เพราะแต่โบราณมาแล้ว ความคิด ความเชื่อ และความหวาดกลัวถูกยึดโยงกับธรรมชาติทั้งสิ้น
    ฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ล้วนส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ทั้งสิ้น เครื่องหมายที่แสดงถึงปรากฎการณ์ทางธรรมชาติเหล่านั้น ถูกคิดขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อธรรมชาติที่ส่งผลกับความเชื่อต่างๆ นานา ที่เกี่ยวพันกับมนุษย์ต้องแต่เกิดจนตาย
    เครื่องหมายเหล่านั้นคนรุ่นหลังเรียกว่า “เครื่องราง” (Amulet) ซึ่งแต่ละรูปร่าง แตะละรูปทรงมีความหมายแตกต่างกัน

กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ


    
     เครื่องรางรูป “ปลา” คตินิยมทางไสยศาสตร์ ถือว่าปลาเป็นนิมิตแห่งความเจริญสมบูรณ์มั่งคั่ง ประกอบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ มีบุตรภรรยา ญาติมิตร ข้าทาสบริบูรณ์ พิธีแต่งงานของชาติยิวคู่บ่าวสาวต้องกระโดดข้ามปลาสด เพื่อให้มีบุตรและอุดมสมบูรณ์ไปภายภาคหน้า
    สำหรับเครื่องราง “รูปปลา” เป็นเครื่องหมายมงคลในทางโชคลาภ ถ้าแกะหยกหรือไข่มุก เป็นรูปปลาห้อยคอจะนำโชคลาภมาให้ ชาวจีนนิยมทำโคมเป็นรูปปลาแขวนหน้าบ้าน หรือทำเป็นลายปลาสองตัวอมหางกัน เขียนหรือติดไว้ตามประตูบ้านเป็นเครื่องหมายคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่างๆ 
    ลวดลายจีนที่มีรูปปลาสองตัวอมหางนี้เป็นเครื่องหมายสวัสดิมงคล ลายปลาคู่นี้ทางอินเดียเขียนเป็นรูปปลาหัวหางชนกัน ในประเทศธิเบตเครื่องหมายมงคลในลัทธิลามะจำพวกมงคลแปดประการก็มีปลาทอง ลายปลาคู่ที่เอาไปจากจีนว่าเป็นยันต์รูปพระอาทิตย์ พระจันทร์
 

กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ


    ปลาที่ทำเป็นเครื่องรางทั่วๆ ไป ใช้สำหรับคุ้มครองป้องกันสรรพภัย อันตรายและนำโชคลาภมาให้

กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ  
    เครื่องรางรูป ด้วง ด้วงเป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ ชาวอียิปต์เคารพด้วงเสมือนเป็นพระผู้สร้าง หรือพระผู้ให้ชีวิต ดุจเทพทีเรียกว่า “รา” ในจำพวกเทวดาของอียิปต์ เทวดาที่ชื่อ “ปตาห” เป็นเทวดาโบราณเก่าแก่ที่สุด นับถือกันว่าเป็นผู้สร้างเทวดาซึ่งออกมาทางเนตร และสร้างมนุษย์ซึ่งออกมาทางโอษฐ์ 
    รูปของเทวดาองค์นี้มีด้วงอยู่บนเศียรเทวดาทีชื่อ “เขเประ” แปลว่า “พระผู้สร้าง” คือเป็นผู้สร้างเทวดาและสร้างโลก ในรูปก็มีตัวด้วง อยู่บนเศียร 
    ในทางไสยศาสตร์ชาวอียิปต์นิยมเอาพลอยหรือหินบางชนิดมาแกะเป็นตัวด้วงทำเป็นเครื่องรางสำหรับป้องกันตัว พิธีอาบยาศพ (มัมมี่) เอาด้วงเครื่องรางที่ทำด้วยหินสีเขียววางบนหน้าอกศพ 
    สำหรับป้องกันวิญญาณไม่ให้ถูกผีร้ายรบกวน ระหว่างเดินทางไปโลกหน้า ครั้งอียิปต์โบราณทำลวดลายเป็นรูปตัวด้วง 
    “ด้วง” เครื่องรางนับถือไปในทางแคล้วคลาด อริหรือศัตรูทำอะไรไม่ได้

กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ
    เครื่องรางรูป ดวงตา คติดึกดำบรรพ์ถือดวงอาทิตย์ เป็น “ตาของวัน” ที่ไทยเราเรียกดวง อาทิตย์ว่า “ตาวัน” หรือ “ตะวัน” คงจะเป็นคำของไทยเราเอง ซึ่งมี ความหมายว่าเป็นตาของวัน ตามคติดึกดำบรรพ์นั้นว่ากันว่า ที่เราเรียก ดวงอาทิตย์ว่าตะวัน มาจากคำของภาษามลายู 
    ความนับถือพระอาทิตย์มีมาแต่โบราณดึกดำบรรพ์ และถือกันว่าเป็นตาของวันซึ่งมองดูโลก จึงได้เกิดมีเครื่องรางทำเป็นรูปวงกลมมีจุดกลาง หมายถึงดวงตา 
    เครื่องหมายดวงตานี้ ต่อมาได้เขียนเติมขอบให้เป็นรูปดวงตาจริงๆ นับถือเป็นเครื่องรางสำหรับป้องกันคุณไสยหรือถูกกระทำย่ำยี ถูกเสน่ห์ ต้องมนต์ ต้องพิษ สำแดง ต่างๆ กับนับถือในทางป้องกันโรค ภัยไข้เจ็บบางอย่างด้วย
    ตามบ้านบางแห่งจะเห็นมีแผ่นเครื่องรางทำเป็นรูปดวงตาติดไว้ หรือเขียนรูปดวงตาลงไว้ที่ประตูหน้าต่างก็มี
    ความนับถือของที่เชื่อว่าศักดิ์ สิทธิ์แล้วนำมาใช้เป็นเครื่องราง ได้ บังเกิดมีมาก่อนดังกล่าวข้างบน นับ ว่าลัทธิไสยศาสตร์ได้จับเค้าขึ้นเป็นทีแรก แต่ความเชื่อในชั้นนี้ยังไม่วิจิตรพิสดาร 
    มาจนวิชาดาราศาสตร์เฟื่องฟูแพร่หลายลัทธิศาสนายิวโบราณ เจริญขึ้น นักคิดทางนี้จึงจับเอา ดาราศาสตร์มาประสมเข้ากับศาสนา เกิดเป็นวิชาไสยศาสตร์สมบูรณ์ขึ้น
    บ่อเกิดไสยศาสตร์มีความกว้างพอๆ กับบ่อเกิดรามเกียรติ์ มีเรื่องราววิตถารกว้างขวางนัก ลำพังแต่จะพูดถึงเครื่องรางอันเป็นแขนง หนึ่งเพียงแต่เล็กน้อย 

กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ

 

 เครื่องรางรูป ตัวเลข เครื่องรางแบบนี้เป็นตัวบทสำคัญอยู่ใน ไสยศาสตร์ พวกไสยศาสตร์ยิวนับถือว่าตัวเลขทุกตัวมีอำนาจในตัวของมันเอง ปิถาโกรัสนักปราชญ์กรีกโบราณ ยืนยันว่าสากลจักรวาลเกิดขึ้นด้วย อำนาจของตัวเลข ดังนี้ทางไสยศาสตร์จึงถือว่าตัวเลขแต่ละตัว หรือจำนวนรวมแต่ละผลลัพท์จึงมีความสัมพันธ์ กับสรรพสัตว์ทั้งหลายแหล่ในสากลโลก 
    ตัวเลขจึงเป็นต้นเหตุบันดาลให้เกิดความรักหรือความเกลียด ความกลมกลืนหรือความแตกแยกในระหว่างธรรมชาตินั้นๆ เอง หรือในระหว่างอาตมันของธรรมชาติกับของมนุษย์ 
    พวกไสยศาสตร์จับความสำคัญของตัวเลขได้ จึงคิดค้นเอาตัวเลขมาเทียบเคียงความเป็นไปของธรรมชาติ แล้ววางไว้เป็นหลักฐาน แบบฉบับเกี่ยวกับดาราศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ มีอาทิดาวนั้นๆ ประกอบด้วย ตัวเลขอย่างนั้นๆ
 

กำเนิด เครื่องราง ในยุคโบราณ

 

    เครื่องราง “ดาราศาสตร์” หรือ “จักรราศี” แต๋โบราณถือว่าดวงดาวในท้องฟ้ามีอิทธิพลบันดาล เหตุร้ายให้แก่โลกและความเป็นไปของมนุษย์ เหตุดีอันเป็นโทษจะมา หรือจะเสื่อมคลายเบาบางลงได้ ก็ด้วยมีอิทธิพลของดวงดาวมาช่วย 
    พวกไสยศาสตร์ จึงได้คิดเอาอิทธิพล ของดาวที่มีอำนาจต่าง ๆ มากันหรือแก้ โดยแปลดาวนั้นๆ ออกเป็นตัวเลขแล้วมาทำเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เกิดคุณหรือบำบัดโทษ และหาวิธีทำให้ขลังด้วยการเอาเทวดาหรือภูตผีปีศาจเกี่ยวกับทางดาราศาสตร์ และลัทธิศาสนามาประกอบเข้า 
    โดยจารึกชื่อเป็นตัวอักขระลงไปด้วยเครื่องหมายอันศักดิ์สิทธิ์อันเกิดขึ้นจากตัวเลขประกอบด้วยอักขระนี้เรียกง่าย ๆ ว่า “ยันต์” นำมาเขียนลงแผ่น หนังหรือแผ่นโลหะ ทำเป็นเสมาหรือ ตะกรุดประดับติดตัว เป็นเครื่อง คุ้มครองป้องกันเรียกว่า “เครื่องราง”
    
    การทำเครื่องรางต้องดูวิถีโคจรของดวงดาวตามจักรราศีประกอบ พร้อมด้วยฤกษ์ยามวัน เวลา นาที ต้องให้ร่วมกลมกลืนกันหมดเครื่องรางแต่ละชิ้นถ้าจะทำให้ถูกต้อง ตามลัทธิไสยศาสตร์จริงๆ ซึ่งไม่ใช่ง่ายนัก
    ผู้สร้างเครื่องรางจะต้องศึกษาลัทธิไสยศาสตร์ให้ช่ำชอง รู้จักเทวดาอันเป็นสมพระเคราะห์หรือบาปเคราะห์ที่ประจำดวงดาวนั้นๆ ต้องเชี่ยวชาญ ในวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ รู้ องศา ราศี ดิถี ฤกษ์ยามของดาวที่จะมาทำเป็นยันต์นั้นว่า ในระยะไหนจึงมีอิทธิพลแรงกล้าในท้องฟ้า หรือในระยะไหนมีกำลังอ่อนอับมัวไร้กำลังซึ่งเมื่ออยู่ในราศีนั้นๆ ย่อมจะบันดาลให้ประสิทธิผลตามความปรารถนาอย่างมหัศจรรย์