ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมาย ได้ที่ http://www.tnews.co.th

ประสบการณ์ สุดอัศจรรย์ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย

เมื่อพระธุดงค์หลงป่า

พอออกจากจังหวัดลพบุรีแล้ว ก็เข้าจังหวัดนครสวรรค์เดินขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ คราวนี้ไปถึงไหนก็ไม่รู้ เพราะเกิดหลงป่าไม่รู้ทางไป ก็ได้อาศัยถามชาวบ้านบ้าง แต่ก็เดินมุ่งขึ้นเหนือเรื่อยไป บางวันก็ไม่พบเห็นแสงเดือนแสงตะวัน เพราะมันเป็นป่าทึบไปหมด...แต่เพราะบารมี หลวงพ่อปานและหลวงพ่อจง คอยคุ้มครอง จึงไม่มีพระธุดงค์องค์ใดพบกับอันตรายใด ๆ เลย นอกจากบางครั้งจะผิดข้าวผิดน้ำบ้างเท่านั้น...มีบางทีพระเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ช่วยแก้ไขรักษากันไปตามมีตามเกิด... ก็พักรักษาตัวตามโรงทานบ้าง มีชาวบ้านช่วยกันบ้าง บางวันได้อาหารมาก็ถวายพระแบ่งกันฉัน บางทีก็ไม่ได้ฉันมาตั้ง ๓-- วัน ก็เคยอยู่บ่อย ๆ”

หลวงพ่อมีเล่าเหตุการณ์หลงป่าเมื่อคราวนำพระภิกษุออกธุดงค์แสวงบุญไปจังหวัดเชียงใหม่

เคยขอบิณฑบาตกับรุกขเทวดาอยู่บ่อย ๆ ถ้าวันไหนบิณฑบาตไม่ได้ก็เอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ไว้...ก็ไม่เคยได้ข้าวปลาอาหารจริง ๆ จากรุกขเทวดาตามที่มีคนเขาเล่ากัน แม้แต่เพียงครั้งเดียว...หลวงพ่อปานท่านสอนว่า มันเป็นเคล็ด” ถ้าวันไหนบิณฑบาตไม่ได้ให้เอาบาตรไว้กับต้นไม้...สักครู่หนึ่งก็เอาบาตรนั้นมาล้างน้ำ

แล้วเอาน้ำในบาตรนั้นมาฉันเพียงแค่นั้นมันก็รู้สึกอิ่มไปทั้งวันแล้ว...หลวงพ่อปานท่านสอนให้เอาเคล็ดอย่างนั้น ก็มีกำลังวังชาเดินได้ตลอดทั้งวัน โดยไม่มีอาการหิวโหยเลย

เด็กหญิงประหลาดใส่บาตร

มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อมีอาราธนาขอชมบารมีเจ้าป่าเจ้าเขาให้มาใส่บาตรตามหลวงพ่อมีไป ท่านได้กล่าวตักเตือนพระภิกษุทั้งหลายให้รู้ตัวล่วงหน้าว่า ถ้าเช้าวันนี้พบเห็นอะไรแปลก ๆ อย่าได้พูดวิพากษ์วิจารณ์อะไร หรือถ้ามีผู้มาใส่บาตรก็อย่าไปทักหรือถามไถ่อย่างเด็ดขาด ให้ตั้งสติสำรวมกาย วาจา ใจ ยึดมั่นอยู่แต่คำภาวนาให้มาก ๆ เข้าไว้ ถ้าเอาเหตุการณ์ที่พบเห็นมาพูดคุยกันแล้ว ต่อไปจะไม่ได้พบเห็นอีก

เมื่อหลวงพ่อมีกล่าวซักซ้อมกับพระภิกษุทั้งหลายจนเข้าใจดีทุก ๆ องค์แล้ว ท่านก็ออกเดินบิณฑบาตนำหน้าเข้าไปในป่าลึก ซึ่งตลอดทางเป็นป่าดงดิบปราศจากบ้านของผู้คนแม้แต่หลังคาเรือนเดียวก็ไม่มี เช้าวันนั้นพระธุดงค์ทุกองค์ออกเดินด้วยลักษณะอันสำรวมยิ่งกว่าทุก ๆ วัน แต่เวลาได้ผ่านไปเกือบ ชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบกับผู้คนเลย เมื่อยิ่งเดินไปก็ยิ่งเข้าป่าลึกและยิ่งทึบขึ้นทุกที จนแทบจะไม่มีทางเดินต่อไปได้อีกแล้ว

ทันใดนั้น สายตาของหลวงพ่อมีก็เห็นเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ ไว้ผมจุกอายุประมาณ ๑๒ ปี แต่งกายปอน ๆ แบบชาวบ้านป่าโดยทั่วไป ยืนถือขันข้าวอยู่ข้างหน้าเพื่อคอยใส่บาตร

หลวงพ่อมีมองเห็นแล้วก็ทราบแก่ใจดีว่าลักษณะของเด็กหญิงประหลาดนั้น ไม่ใช่เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ท่านก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ คงเดินอย่างสำรวมตรงเข้าไปรับข้าวอย่างปกติ แล้วเดินอ้อมกลับออกมาให้พระภิกษุที่ยืนต่อแถวจากท่านได้รับบ้างอย่างสะดวก โดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมามองดูให้เสียกิริยาเลยแม้แต่น้อย

หลวงพ่อมีเล่าว่า “พอฉันเดินเข้าไปใกล้เด็กผู้หญิงผมจุกนั้น พอได้กลิ่นหอมของข้าวเข้าเท่านั้น ก็รู้สึกหายหิวทันที...เด็กผมจุกตักข้าวเปล่า ๆ ใส่บาตรพระด้วยกิริยามารยาทอันเรียบร้อยองค์ละทัพพีเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีกับข้าวอย่างอื่นอีก...เมื่อพระทั้งหมดกลับมาฉันแล้วก็รู้สึกว่า ข้าวนั้นมีสีขาวและเม็ดใหญ่กว่าปกติ เวลาตักใส่ปาก ก็หอมนุ่มนวลอย่างไม่เคยฉันมาก่อนเลย...พอฉันเสร็จแล้วรู้สึกอิ่มไปตลอดทั้งวันเลยทีเดียว”

ออกธุดงค์..เจอเทวดามาใส่บาตรในป่าลึก "หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย"ยังได้พบสนทนาธรรมกับหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ซึ่งละสังขารไปเกือบ ๓๐ ปี

หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย

ออกธุดงค์..เจอเทวดามาใส่บาตรในป่าลึก "หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย"ยังได้พบสนทนาธรรมกับหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ซึ่งละสังขารไปเกือบ ๓๐ ปี

พระที่ติดตามฉันไปเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ มาใส่บาตรกลางป่าลึก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีบ้านคนอยู่ในละแวกนั้นเลย...ก็เลยเผลอตัวลืมคำตักเตือนของฉัน เดินวิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอดทาง บ้างก็ว่าเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นเจ้าป่าเจ้าเขายุ่งกันไปหมด...ฉันจะหันไปห้ามปรามก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยสำรวมใจ ควบคุมสติและอารมณ์อยู่ทุกขณะลมหายใจเข้า ออก...ถ้าหันกลับไปพูดว่าพระท่านแล้วอาจจะเสียอารมณ์ภาวนาได้...อาจจะทำให้เสียการณ์เกิดอันตรายขึ้นกับพระท่านได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย...ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยพบเห็นสิ่งแปลก ๆ อะไรอีกเลย”

ฉะนั้น ในการออกธุดงค์ของหลวงพ่อมีในครั้งต่อไป หลวงพ่อปานจึงบอกให้ท่านธุดงค์เพียงองค์เดียว เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจว่า เมื่อเดินธุดงค์เพียงองค์เดียว โดยไม่มีเพื่อนร่วมทางแล้ว จะมีความกล้าพอหรือไม่นั่นเอง

ในที่สุดคณะธุดงค์ก็รอนแรมมาถึงจุดหมายปลายทางคือ ดอยสุเทพ เชียงใหม่ และเมื่อได้กราบไหว้ พระบรมสารีริกธาตุ บนดอยสุเทพแล้วก็เดินทางกลับวัดมารวิชัย เหตุการณ์ตอนขากลับนี้ ตลอดทางไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าตื่นเต้นควรแก่การนำมาเล่า จึงขอรวบรัดตัดตอนผ่านไป ซึ่งกว่าจะกลับถึงวัดมารวิชัยก็เป็นเวลาเกือบถึงเทศกาลเข้าพรรษาในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นการออกธุดงค์ครั้งนี้นานนับ เดือนทีเดียว

ดังนั้นเมื่อพระธุดงค์ทั้งหลายเดินทางกลับสู่วัดมารวิชัยโดยสวัสดิภาพ ไม่มีพระภิกษุรูปใดได้รับอันตรายจากการบุกป่าฝ่าดง ซึ่งมีแต่ภัยอันตรายต่าง ๆ นา ๆ รอบด้านเลยแม้แต่น้อย กิตติศัพท์ความมีวิทยาคมแก่กล้าของลูกศิษย์หลวงพ่อปานที่สามารถให้ความคุ้มครองพระทุกองค์เดินธุดงค์ไปกลับจากเชียงใหม่โดยปลอดภัยในครั้งนี้ จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วภายในเขตบ้านแพนสมัยนั้น ชื่อเสียงของหลวงพ่อมีจึงมีผู้คนกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

แต่แทนที่หลวงพ่อมี จะดีใจหรือหลงระเริงลืมตัวกับคำสรรเสริญเยินยอต่อคำกล่าวชมของชาวบ้านทั้งหลาย ท่านกลับออกตัวพูดอย่างถ่อมตนว่า เหตุที่เดินทางโดยปลอดภัยในครั้งนี้ เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจงที่คอยคุ้มครองปกป้องโดยแท้

ธุดงค์พบหลวงพ่อแช่ม

หลังจากออกพรรษาในปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ก็กราบลาหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจงก่อนออกธุดงค์เช่นเคย แล้วแบกกลดถืออัฐบริขารเดินดุ่มไปเพียงลำพัง ไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นการธุดงค์ครั้งที่ ของท่าน การเดินทางตั้งต้นที่อยุธยา นนทบุรี เข้าสู่นครปฐม จึงได้มีโอกาสไปกราบนมัสการและเล่าเรียนเวทบางประการกับ หลวงพ่อแช่ม ที่วัดตาก้อง ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในเวลานั้น

ปฏิปทาของท่านก็งดงามดีแล้ว แต่แปลกตรงที่ปลูกผักทำสวนครัวเองเท่านั้น และก็รู้สึกว่าชาวบ้านในละแวกนั้นให้ความเคารพนับถือยำเกรงท่านเป็นอย่างดีทุก ๆ คน...”

หลวงพ่อมีได้ศึกษาหลักปฏิบัติธรรมภาวนาและวิชาบางประการกับหลวงพ่อแช่มอยู่ คืน พอวันรุ่งขึ้นเมื่อฉันเช้าเรียบร้อยแล้วก็กราบลาหลวงพ่อแช่มออกจากวัดตาก้องใฝ่แสวงหาความสงัดวิเวกทางจิตต่อไป โดยมุ่งเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี ไปสังขละบุรีจนถึงด่านพระเจดีย์ องค์ ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนพม่า จากนั้นหลวงพ่อมีก็เดินอ้อมเข้าจังหวัดอุทัยธานี สุพรรณบุรี แล้วก็ถึงอยุธยากลับเข้าวัดมารวิชัย เมื่อกลางเดือน ของปี พ.ศ. ๒๔๘๐

 

การถือรุกขมูลเพียงลำพังเป็นครั้งแรกของหลวงพ่อมีนี้ ภายในดวงจิตของท่านปราศจากความหวาดกลัวต่อภัยอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ท่านบอกว่า “จะเป็นจะตายก็ช่าง เพราะชีวิตนี้ได้อุทิศตนให้แก่บวรพุทธศาสนาหมดสิ้นแล้ว” ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงไม่มีความหวั่นไหวแต่ประการใด ซึ่งท่านได้กล่าวเปิดเผยว่า การเดินธุดงค์เพียงลำพังองค์เดียวยังดีกว่าไปกันหลาย ๆ องค์เสียอีก เพราะไม่ต้องไปคอยห่วงพะวงถึงความเป็นอยู่และความปลอดภัยของผู้อื่น อันเป็นภาระรับผิดชอบที่หนักหนาไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะประการที่สำคัญยิ่งก็คือ

การปฏิบัติธรรมภาวนาแต่ลำพัง ทำให้ดวงจิตได้รับความสงบจากความสงัดวิเวกได้เป็นสุขดียิ่งกว่าการปฏิบัติกับหมู่คณะหลาย ๆ องค์

นี่คือเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ อันเป็นประสบการณ์ของหลวงพ่อมี ซึ่งมีค่าต่อนักปฏิบัติที่กำลังใฝ่หาความจริงกันอย่างยิ่ง ก็ขอฝากเป็นข้อคิดสำหรับนักปฏิบัติที่มีความตั้งใจต้องการจะเอาดีกันจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าจะปฏิบัติอวดชาวบ้าน ทดลองทำดูเล่น ๆ หรือทำตามเพื่อนแบบพวกมากลากกันไปเท่านั้น !

วิญญาณหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยนอก จ.สมุทรปราการ

ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๐ อันเป็นการรุกขมูลครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อมี ในเช้าวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อมีเตรียมหาสถานที่ปักกลด ก็มาพบกับขบวนพระธุดงค์คณะหนึ่ง ซึ่งต้องกล่าวว่าเป็น “ขบวนธุดงค์” เพราะเหตุว่า มากันเป็นหมู่คณะที่มีทั้งพระภิกษุ และแม่ชีมีจำนวนมากกว่าร้อยรูป กำลังปัดกวาดสถานที่สำหรับปักกลดอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเช่นกัน

หลวงพ่อมีเห็นขบวนพระธุดงค์แล้ว บังเกิดความเลื่อมใสในตัวพระอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าผู้ควบคุมพระภิกษุและแม่ชีนับร้อยรูป ออกธุดงค์ด้วยกิริยาอันสำรวมและมีวินัยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นนี้ ท่านต้องไม่ใช่เป็นพระภิกษุธรรมดาอย่างแน่นอนเมื่อดวงจิตของหลวงพ่อมี บังเกิดความสัมผัสอันประหลาดดังนี้แล้ว ท่านจึงสอดส่ายสายตามองหา ก็บังเอิญพบเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีลักษณะพิเศษ นั่งขัดสมาธิโดดเด่นอยู่บนโขดหินห่างจากกลุ่มพระธุดงค์ขึ้นไปทางเหนือ หลวงพ่อมีจึงเดินตรงไปกราบนมัสการท่านทันที

ออกธุดงค์..เจอเทวดามาใส่บาตรในป่าลึก "หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย"ยังได้พบสนทนาธรรมกับหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ซึ่งละสังขารไปเกือบ ๓๐ ปี

หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

หลวงพ่อมีเล่าว่า ท่านยังจำลักษณะของพระภิกษุรูปนั้นได้ติดตา เพราะว่าท่านมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร คือมีรูปกายสูงใหญ่ดุจคนโบราณ ห่มผ้าจีวรสีกรักมองดูดำทะมึน แต่ก็มีลักษณะราศีงดงามอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้ภายในจิตใจของหลวงพ่อมี บังเกิดความเลื่อมใสท่านมากยิ่งขึ้น

ผมมากราบนมัสการหลวงพ่อขอให้ช่วยแนะนำหลักการปฏิบัติธรรมกับผมบ้างครับ”

หลวงพ่อมี เข้าไปกราบนมัสการท่านแล้ว เอ่ยปากขอเล่าเรียนธรรมปฏิบัติทันที โดยไม่มีการอ้อมค้อมตามแบบฉบับชอบพูดตรง ๆ ของท่านอย่างฉะฉาน หลวงพ่อองค์ใหญ่ยกมือขึ้นรับไหว้ แล้วพูดด้วยสำเนียงเสียงอันดังกังวานอย่างมีอำนาจขึ้นโดยไม่ได้ขยับตัวว่า

ที่ท่านทำมานั่นดีแล้ว...ถูกต้องแล้ว ผมไม่มีอะไรจะสอนท่านอีก...ขอให้ท่านเจริญรอยตามพระพุทธองค์ท่านไว้...”

ว่าแล้วท่านก็สอนวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกำชับให้หลวงพ่อมีหมั่นเพียรปฏิบัติต่อไปจนถึงที่สุด เพื่อให้หมดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสทั้งมวล ไม่ติดอยู่ในสงสารวัฏอันเป็นการดับทุกข์ซึ่งมีแต่ความเป็นสุขยิ่งกว่าความสุขทั้งปวง

หลวงพ่อมีได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากพระภิกษุรูปนั้นแล้ว พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน และเมื่อเรียนถามชื่อของท่านแล้วก็ทราบโดยละเอียดว่าท่านเป็นใครมาจากไหน

ฉันชื่อปาน อยู่วัดคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ มาคอยคุ้มครองพระท่านออกรุกขมูล”

พอหลวงพ่อมีทราบว่า ท่านคือหลวงพ่อปาน อยู่วัดคลองด่านเข้าเท่านั้น ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านเป็นอย่างดี เพราะทราบว่าท่านถึงแก่มรณภาพไปนานแล้ว

แต่หลวงพ่อมีก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจให้เสียกิริยาตามที่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเคยกล่าวย้ำสั่งสอนเป็นนักเป็นหนาว่า

ถ้าพบเห็นสิ่งแปลก ๆ ในระหว่างรุกขมูลอย่าได้สงสัยไต่ถามเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะไม่ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับอันมหัศจรรย์นั้นอีก และอย่าเก็บเอาสิ่งที่เห็นนั้นมาวิพากษ์วิจารณ์หรือเก็บเอามาคิดจนเสียเวลาภาวนา

หลวงพ่อมีจึงกราบลาหลวงพ่อปานวัดคลองด่านแล้วถอยกลับมาเข้าสู่กลดของตนเอง กระทำสมาธิภาวนาตามกิจวัตรประจำวันเรื่อยไป จนถึงรุ่งเช้าก็ถอยกลด ออกเดินรุกขมูลต่อไป

ในภายหลังที่หลวงพ่อมีกลับถึงวัดและได้เล่าเรื่องราวที่ได้พบกับหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ให้กับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคฟัง จึงทราบว่า หลวงพ่อปาน วัดคลองด่านท่านถึงแก่กาลมรณภาพไปนานเกือบ ๓๐ ปีแล้ว

มีผู้รู้ประวัติหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านเป็นอย่างดีกล่าวว่า ดูจากลักษณะพระภิกษุที่หลวงพ่อมีพบแล้วอ้างว่าเป็นหลวงพ่อปาน อยู่วัดคลองด่านนั้น คงจะเป็นตัวท่านจริง ๆ เพราะตามประวัติวัดก็บอกไว้แล้วว่า หลวงพ่อปานท่านมีรูปร่างใหญ่โต และพูดจาเสียงดังฟังชัด ซึ่งจะเป็นหลวงพ่อปานองค์อื่นไปไม่ได้ เนื่องจากวัดคลองด่าน มีหลวงพ่อปานองค์นี้องค์เดียวเท่านั้น ที่มีรูปร่างสูงใหญ่เช่นนี้

ดังนั้น พระภิกษุที่หลวงพ่อมีกราบนมัสการ ระหว่างทางต้องเป็นดวงวิญญาณของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านที่มาคอยให้ความคุ้มครองศิษย์ของท่านทั้งหลาย ที่มาถือรุกขมูลตามที่ท่านบอกนั่นเอง !

ในการออกรุกขมูลของหลวงพ่อมีครั้งนี้ใช้เวลาแค่ เดือนเท่านั้น ท่านก็เดินธุดงค์กลับเข้าวัดบางนมโค ก่อนที่จะเข้าวัดมารวิชัยเมื่อเดือน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ เนื่องจากหลวงพ่อมี ท่านเป็นห่วงอาการอาพาธของหลวงพ่อปาน เป็นอย่างมาก เพราะท่านเคยประกาศว่าจะถึงแก่มรณภาพภายในเดือน๘ ของปีนี้แล้ว

สิ้นสุดการออกธุดงค์

การถือธุดงค์ของหลวงพ่อมี ครั้ง ต้องสิ้นสุดลงแค่ ปีเท่านั้น (๒๔๗๕๒๔๘๑) เพราะเดิมทีท่านได้ตั้งใจจะออกธุดงค์ตลอด ๑๐ ปี แต่บังเอิญมีสาเหตุถูกตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ทำการบูรณะอุโบสถที่กำลังชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา จนพระภิกษุสงฆ์ทำสังฆกรรมไม่ได้ ให้มั่นคงถาวรยิ่งขึ้นสืบต่อไป

ออกธุดงค์..เจอเทวดามาใส่บาตรในป่าลึก "หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย"ยังได้พบสนทนาธรรมกับหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ซึ่งละสังขารไปเกือบ ๓๐ ปี

หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก

ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ เจ้าของบทความ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้

ศิษย์มีครู

เพื่อเผยแผ่กิตติคุณเป็นสังฆบูชา