ตะลึง!! ไวรัสโรตา-ไวรัสโนโร ระบาดหนักทำ "เด็กเล็กกทม." ติดเชื้อไวรัสลงกระเพาะ 13,000 คน เตือนทำความสะอาดสิ่งของ-ที่อยู่อาศัย

ตะลึง!! ไวรัสโรตา-ไวรัสโนโร ระบาดหนักทำ "เด็กเล็กกทม." ติดเชื้อไวรัสลงกระเพาะ 13,000 คน เตือนทำความสะอาดสิ่งของ-ที่อยู่อาศัย

เมื่อวันที่ 11 มกราคม นพ.เมธิพจน์ ชาตะเมธีกุล ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ไวรัสลงกระเพาะ หรือท้องเสียจากเชื้อไวรัส มักพบบ่อยเมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวของทุกปี โดยปกติแล้วไวรัสที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย 4-5 ชนิด สถิติในปี 2560 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในกรุงเทพมหานครท้องเสียประมาณ 13,000 คน สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจาก ไวรัสโรตา กับไวรัสโนโร โดยไวรัสโรตาจะเข้าสู่ร่างกายด้วยการกิน การแพร่กระจาย จาก ไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะที่มีเชื้อไวรัสดังกล่าวจะออกมาด้วย และเกาะอยู่บริเวณตามบริเวณ ต่างๆ เช่น อาหาร ลูกบิดประตู ของเล่นเด็ก ของใช้ส่วนรวม ฯลฯ เมื่อมีคนมาจับสิ่งของเหล่านั้นแล้วไม่ได้ล้างมือ ต่อมามาจับอาหารทานต่อเชื้อก็เข้าสู่ระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จากนั้นติดเชื้อไปยังกระเพาะอาหาร เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง และเมื่อเชื้อเดินทางถึงลำไส้ทำให้เกิดอาการท้องเสียตามมา สภาพอากาศเย็น  ทำให้เชื้อไวรัสเหล่านี้อยู่ในอาหารและสภาพแวดล้อมได้นานขึ้น เมื่อกินอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ไม่ได้ใช้ช้อนกลาง เมื่อทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อ อาจติดเชื้อไวรัสนี้ได้ 
 

 

 

นพ.เมธิพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโรต้า คือ กลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และพบมากที่สุดในเด็กเล็กต่ำกว่า 3 ปี ฉะนั้น ผู้ปกครองต้องทำความสะอาดของเล่นเด็กด้วยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนตามสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมเด็กเล็กต้องทำความสะอาดสิ่งของและของเล่นทุกวัน ด้วยน้ำผงซักฟอกและนำไปตากแดด สถานที่พบเชื้อมากที่สุด คือ สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล และบ้านบอล ส่วนไวรัสโนโร มักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ สาเหตุจากการรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก เช่น ผักสด  แซนวิช ขนมปัง เค็ก หอยนางรมสด อาหารเหล่านี้เมื่อมีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโนโรแม้เพียง 10 ตัวก็อาจก่อให้เกิดโรคได้ ผุ้ที่เคยป่วยแล้วจะมีภูมิคุ้มกันอยู่ 2-3 เดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงมักพบผู้ป่วยท้องเสียจากเชื้อไวรัสโนโรซ้ำได้บ่อยครั้ง

นพ.เมธิพจน์กล่าวถึงการรักษาอาการในเบื้องต้นว่า ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะ จะรักษาตามอาการ เมื่อพบว่าตนเองมีอาการเข้าข่ายติดเชื้อไวรัสดังกล่าว หากเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ไข้ปวดศรีษะ ให้ทานเกลือแร่ทดแทนการขาดน้ำในร่างกายทันที ในผู้ใหญ่ยังไม่อันตรายมากนักหากทานเกลือแร่ใด้เพียงพอ แต่ในเด็กเล็กอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากร่างกายมีการสำรองปริมาณน้ำในปริมาณไม่มากนัก หากอาเจียนสัก 3-4 ครั้งอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง และเสียชีวิตได้ ดังนั้นการป้องกัน จึงต้องหมั่นกินอาหารที่ผ่านการปรุงสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมืออย่างสม่ำเสมอ
 

 

 

 


“หากเด็กมีอาการอาเจียนมาก ผู้ปกครองควรป้อนอาหารอ่อน น้ำสะอาด นมหรือน้ำหวาน โดยให้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน เช่น การใช้ช้อนชา หรือหลอดฉีดยาป้อน ไม่ควรสัมผัสกับมือโดยตรง พยายามป้อนอาหารครั้งละน้อยๆ รอดูอาการสัก 5-10 นาทีหากไม่อาเจียนค่อยป้อนเพิ่มตามเข้าไป จะสังเกตได้ว่าเด็กมีอาการดีขึ้นจะเริ่มอยากทานอาหาร หากพบผู้ป่วยมีอาการแย่ลง กินอาหารน้ำไม่ได้และอาเจียนหรือท้องเสียมากขึ้นปัสสาวะสีเข้มซึมสับสนอ่อนเพลียให้รีบส่งพบแพทย์ทันที” นพ.เมธิพจน์ กล่าว