ไทยคือ "ซ่องโลก" ใช่หรือไม่ ? ถึงเวลา "โสเภณี" ควรถูกกฏหมายแล้วหรือยัง ?

ติดตามรายละเอียด FB: DEEPS NEWS

โสเภณีเป็นอาชีพสุดเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่โบราณ  ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ราชทูตของฝรั่งเศสที่เข้ามาในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ช่วง พ.ศ. 2230 เป็นต้นมา ได้ระบุเอาไว้ว่า

"บรรดาผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงนั้นหาใช่เจ้าใหญ่นายโตเสมอไปไม่ เช่นเจ้ามนุษย์อัปปรีย์ที่ซื้อผู้หญิง และเด็กสาวมาฝึกให้เป็นหญิงนครโสเภณีคนนั้น ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ออกญา เรียกกันว่าออกญามีน (Oc-ya Meen) เป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกดูแคลนมากที่สุด มีแต่พวกหนุ่มลามกเท่านั้นที่จะไปติดต่อด้วย"

ย้อนมาใกล้กว่านั้นก็คือในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมี "พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค" เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาโรค โดยในมาตรา 4 วรรค 3 ก็อธิบายความหมายของคำว่า "หญิงนครโสเภณี" ไว้ชัดเจนมาก

"หญิงนครโสเภณี หมายถึง หญิงที่รับจ้างทำชำเราสำส่อน โดยได้รับผลประโยชน์เป็นค่าจ้าง"

ยังไม่จบแค่นั้นเพราะตามมาตรา 6 ในกฎหมายฉบับเดียวกัน ก็บอกไว้ว่าใครที่ต้องการตั้งโรงหญิงนครโสเภณี ต้องขออนุญาตจากทางการเสียก่อน ก็แปลว่า นอกจากเราจะมีอาชีพโสเภณีแล้ว ยังสามารถมีสถานบริการที่รัฐอนุญาตอย่างเป็นจริงเป็นจังอีกด้วย

อาชีพโสเภณีจึงมีการจัดทำบัญชีรายชื่ออย่างเป็นระบบ รวมถึงมีข้อห้ามการบังคับล่อลวงหญิงมาเพื่อค้าประเวณี (ต้องเป็นโสเภณีด้วยความเต็มใจเท่านั้น) ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานค้าประเวณีมีอยู่ทั่วประเทศเลยก็ว่าได้ เห็นได้ชัดเข้าไปอีกจากคำว่า "หญิงงามเมือง" ซึ่งเรียกอาชีพโสเภณี โดยความหมายในอดีตคำว่าหญิงงามเมืองนี้ให้ความหมายที่ดี และไม่ได้มีภาพลักษณ์เป็นลบอย่างในปัจจุบัน

ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีการเก็บภาษีเช่นกัน และหนึ่งในภาษีที่ใช้หล่อเลี้ยงรัฐ ก็คือ "ภาษีหญิงโคมเขียว" หรือภาษีที่เก็บจากซ่อง

การอนุญาตให้มีซ่องในอดีตทำให้รัฐมีรายได้จากการออกใบอนุญาต โดยเจ้าของซ่องที่เรียกว่า "นายโรง" ต้องเสียค่าธรรมเนียมขอรับใบอนุญาตฉบับละ 30 บาท ในขณะที่หญิงโสเภณีก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมฉบับละ 12 บาท โดยทั้งนายโรง ทั้งหญิงโสเภณีต้องต่อใบอนุญาตใหม่ทุกๆ 3 เดือน

การเสียภาษีหญิงโคมเขียวในขณะนั้น จึงไม่ต่างจากการจ่ายส่วยเพื่อให้สถานบริการคงอยู่ได้ในปัจจุบัน เพียงแต่การจ่ายภาษีหญิงโคมเขียวในอดีตเป็นไปตามกฎหมาย

เงินที่ได้จากการอนุญาตให้มีซ่อง ซึ่งต้องจ่ายทุกๆ 3 เดือนจึงนำเข้ารัฐทั้งหมด ทำให้นำไปใช้พัฒนาประเทศหรือจะใช้เพิ่มรายได้ให้เหล่าข้าราชการก็ยังได้

 

ไทยคือ "ซ่องโลก" ใช่หรือไม่ ? ถึงเวลา "โสเภณี" ควรถูกกฏหมายแล้วหรือยัง ?

 

ภาพอินโฟกราฟิกนี้ มาจาก Asia According to America ซึ่งเป็นการแสดงแผนที่ว่า คนอเมริกามองประเทศในเอเชีย ว่าประเทศนั้นเป็นตัวแทนของอะไร

"BROTHEL" หรือ ซ่อง คือสิ่งที่คนภายนอกมองว่าประเทศไทยเป็น ในขณะที่อินเดียถูกมองว่าเป็นแกงกะหรี่บ้าง จีนถูกมองว่าเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของโลกบ้าง ส่วนเวียดนามถูกมองว่าเป็นสุสานจากช่วงสงครามเวียดนามบ้าง

อาจารย์ ศิริเพ็ญ ดาบเพชร อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เคยพูดถึงเรื่องเม็ดเงินในอุตสาหกรรมทางเพศในไทย โดยกล่าวถึงช่วงสงครามเวียดนามที่อุตสาหกรรมทางเพศในไทยขยายตัวเพื่อรองรับทหารอเมริกาอย่างรวดเร็ว

"ในช่วงสงครามเวียดนามมีเงินที่หมุนเวียนอยู่ในธุรกิจการขายบริการทางเพศทั้งพาร์ตเนอร์ เมียเช่า บาร์ คลับต่างๆ ร้านอาหาร มีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทยประมาณ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ"

 

เพราะฉะนั้น เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยมีการค้าบริการทางเพศอยู่จริง ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ภายใต้รูปแบบของบริกาอาบอบนวดบ้าง ร้านคาราโอเกะบ้าง และอีกหลายรูปแบบ ซึ่งเม็ดเงินที่ไหลเวียนอยู่ในธุรกิจประเภทนี้ก็พยุง GDP ของประเทศอยู่เป็นจำนวนล้นหลาม แต่มักถูกนับอยู่ในภาคการค้าและบริการแทน

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมองมันไปพร้อมๆ กัน ว่าตกลงการค้าบริการทางเพศเป็นปัญหาจริงไหม ถ้าเป็น เรามีวิธีมองมันหรือหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร?

 

เนื้อหาบางส่วนนำมาจาก The Matter

ลิงค์ต้นฉบับ https://thematter.co/pulse/prostitution-in-thailand/3608