ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

ย้อนรอยวีรกรรม "บ้านหมากแข้ง" สมรภูมิ "พระราชา"

           "ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร" พระสุรเสียงอันเข้มแข็งของ สมเด็จพระเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๑๐ เมื่อครั้งร่วมรบ ณ ฐานปฏิบัติการบ้านหมากแข้ง ราวพุทธศักราช ๒๕๑๑ ในช่วงเวลานั้นประเทศไทย ซึ่งก็เหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศ ที่กำลังทำสงครามกับ "ลัทธิคอมมิวนิสต์" หลายพื้นที่ในประเทศไทยเต็มไปด้วยการสู้รบ โดยเฉพาะรอยต่อ ๓ จังหวัด ครอบคลุม อ.หล่มสัก และหล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์, อ.ด่านซ้าย และนาแห้ว จ.เลย รวมถึง อ.นครไทย และชาติตระการ จ.พิษณุโลก

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

           กระทั่งวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ เกิด "วันเสียงปืนแตก" ณ บ้านห้วยทรายใต้ อ.นครไทย บัดนั้นเป็นต้นมา ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้เคลื่อนไหวปฏิบัติการรุนแรงยิ่งขึ้น ซุ่มยิง โจมตีฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ให้ได้รับบาดเจ็บล้มตายอยู่ตลอดเวลา "บ้านหมากแข้ง" ต.กกสะทอน อ.ด่านซ้าย จ.เลย ก็เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ประสบปัญหา ชาวบ้านต้องหวาดผวากับ "เสียงระเบิด ควันปืน" เพราะที่นี่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหว

          กระทั่ง วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๙ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้ลอบเข้าโจมตีที่ฐานปฏิบัติการของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทำให้ตำรวจเสียชีวิต ๑ นาย และบาดเจ็บสาหัส ๑ นาย ทาง “กองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร ๑๖๑๗” ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับ ทว่าขณะที่นักบินนำเครื่องขึ้นได้ถูกผู้ก่อการร้ายยิงตกลงมา ในวันต่อมาเมื่อหน่วยเหนือส่งกำลังไปช่วยเหลือก็ถูกผู้ก่อการร้ายระดมยิงจนนักบินไม่สามารถนำเครื่องลงได้ ต้องนำกำลังทั้งหมดไปส่งลงที่ฐานบ้านห้วยมุ่น และให้กำลังพลทั้งหมดเดินเท้าไปยัง "ฐานบ้านหมากแข้ง" แต่ระหว่างทางถูกผู้ก่อการร้ายซุ่มยิง ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ๒ นาย บาดเจ็บอีก ๓ นาย

 

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

          เมื่อนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบ ด้วยความห่วงใยพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ "ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร" (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมทหาร ตำรวจและราษฎรในพื้นที่ โดยวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปฐานปฏิบัติการบ้านห้วยมุ่น หลังจากประทับรับฟังการบรรยายสรุปแล้ว พระองค์ได้ทรงมีรับสั่งกับ พล.ท.สมศักดิ์ ปัญจมานนท์ แม่ทัพภาคที่ ๓ (ในขณะนั้น) ด้วยพระสุรเสียงอันหนักแน่นว่า…

"จะต้องไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้"

           เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นไม่น่าไว้วางใจ แม่ทัพภาคที่ ๓ จะกราบบังคมทูลทัดทานหากทว่าพระองค์ก็ทรงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า…

"ชักช้าไม่ได้ ต้องไปแก้ไขให้ได้ในวันนี้ และเดี๋ยวนี้"

            จากนั้นเวลา ๑๕.๓๐ น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง และมีรับสั่งให้นักบินนำเครื่องมุ่งตรงไปยังฐานบ้านหมากแข้งทันที ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังจะร่อนลง ยังไม่ทันที่สกี (ฐานเฮลิคอปเตอร์) จะแตะพื้น พระองค์ได้กระโดลงมาทันที ความสูงประมาณ ๑๒ เมตร แล้ววิ่งหลบ "ฝ่ากระสุน" ที่ปลิวว่อนไปมาอย่างกล้าหาญ ขณะที่ผู้ก่อการร้ายได้ใช้ "อาวุธปืนเล็ก" ระดมยิงเข้ามายังฐานบ้านหมากแข้งอย่างหนัก พระองค์ได้ทรงออกคำสั่งให้ทหารตามเสด็จฯมาด้วยทุกคน แยกย้ายกันนำทหารยิงโต้ตอบผู้ก่อการร้ายและมีคำสั่งให้ปืนใหญ่จาก “ฐานบ้านห้วยมุ่น” ยิงถล่มผู้ก่อการร้ายทันที พร้อมกันนั้นพระองค์ได้เสด็จฯไปยัง “หลุมบุคคล” รอบฐานปฏิบัติการ ทรงให้คำแนะนำแก่ทหารถึงวิธีวางกำลัง การจัดฐานและวางระบบป้องกันตนเอง รวมทั้งทรงแนะนำเรื่องการกำหนดมุมยิงของปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดอีกด้วย

 

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

             กระทั่งเวลา ๑๖.๐๐ น. ผู้ก่อการร้ายยังระดมยิงก่อกวนอยู่ตลอดเวลา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงทรงบัญชาการให้ทหารยิงโต้ตอบ พร้อมสั่งการให้ชุดปฏิบัติการออก “ลาดตระเวน” พิสูจน์ทราบ ด้วยพระองค์เอง โดยทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุด ท่ามกลางเสียทัดทานจากแม่ทัพภาคที่ 3 ด้วยเกรงว่าพระองค์จะทรงเป็นอันตราย แต่กระนั้นพระองค์ทรงมีรับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่กล้าหาญว่า…

“ฉันต้องไปเพราะว่าเป็นหน้าที่ของทหาร”

 

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

             ขณะที่ทรงนำชุดปฏิบัติการออกลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ พระองค์ได้แสดงความกล้าหาญ มี “น้ำพระทัยเด็ดเดี่ยว” อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง ทรงนำหน้าทหารบุกตะลุยไปตามเส้นทางทั้งขึ้น และทางลาด แม้จะพบกับหญ้าสูงรกทึบ ยากลำบากต่อการเคลื่อนที่ เสี่ยงอันตรายจากถูกซุ่มยิง และถูกกับระเบิด แต่พระองค์ไม่ได้ทรงหวาดหวั่น ระหว่างนั้นผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงมายังชุดปฏิบัติการของพระองค์ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกลัวแต่ประการใด ทรงมีพระสติมั่นคง สั่งทหารดำเนินกลยุทธ์ยิงโต้ตอบ จนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยไป

            ท่ามกลางสถานการณ์ “ตึงเครียด” เพราะผู้ก่อการร้ายยังคงยิงเข้ามาไม่ขาด พระองค์ก็ทรงมีรับสั่งให้จัดชุดปฏิบัติการ นำพระองค์ไปยัง “หมู่บ้านหมากแข้ง” โดยทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ แม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการมาก และเส้นทางมีอันตรายรอบด้าน การเสด็จฯไปยังหมู่บ้านหมากแข้งแห่งนี้ทรงมีพระราชประสงค์เพื่อฟื้นขวัญกำลังใจแก่ราษฎร ท่ามกลางความปลื้มปีติยินดีของชาวบ้าน พระองค์ได้ทรงไต่ถามทุกข์สุข และขอให้ราษฎรทุกคนอย่าได้ย่อท้อวิตกกังวล ขอให้เชื่อมั่นว่า “ทหารจะคุ้มครองความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่”

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

          หลังจากนั้นได้เสด็จฯไปยังบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก ทรงตรวจสภาพเฮลิคอปเตอร์อยู่เป็นเวลานาน และต่อมาได้เสด็จฯไป “โรงเรียนบ้านหมากแข้ง” ที่เคยถูกผู้ก่อการร้ายปิดล้อมและยึดไว้ และฝ่ายรัฐยึดกลับคืนมาได้ โดยพระองค์ได้ให้กำลังใจครูและนักเรียนให้หายจากความหวาดกลัว ตลอดทั้งวันนั้นพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างมิทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยได้พระราชทานคำแนะนำยุทธวิธีด้านต่างๆ ทั้งการลาดตระเวน พิสูจน์ทราบ วางกับระเบิด พลุสะดุด สัญญาณเตือนภัยต่างๆ ทรงอธิบายยุทธวิธีปฏิบัติการในพื้นที่ป่าเขา รวมทั้งพระองค์ได้ทรงกระทำเป็นตัวอย่าง

          คืนนั้นพระองค์ได้ “ประทับแรม” ที่ฐานปฏิบัติการ โดยกว่าจะได้บรรทมนั้น ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว พระองค์บรรทมในหลุมบุคคล ซึ่งมีความลึกประมาณ 2 ฟุต หลังคามุงด้วยหญ้าคา ในหลุมมีแค่ “ผ้าปันโจ”(ผ้าปูพื้นสำหรับการเดินป่า) สำหรับปูรองพื้น ใช้เป้ทหารหนุนพระเศียร และบรรทมในชุดเครื่องแบบสนามที่ทรงนำไปชุดเดียว โดยไม่มีเสื้อแจ๊กเกตฟิลด์ (เสื้อกันหนาวสีเขียวของทหาร) กันหนาว หรือผ้าห่มแม้แต่ผืนเดียว ทั้งที่คืนนั้นอากาศค่อนข้างหนาวเย็น

          รุ่งเช้าวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ พระองค์ทรงตื่นบรรทมแต่เช้าตีห้า และมิได้ทรงสรงพระพักตร์ พระองค์ได้เสด็จฯนำแม่ทัพภาคที่ ๓ และคณะไปตรวจการวางกำลัง และทรงควบคุมการกู้กับระเบิดรอบฐาน และทรงมีรับสั่งให้จัดกำลังออกพิสูจน์ทราบเส้นทาง และพื้นที่เนินเขาบริเวณหมู่บ้านอีกครั้ง จากนั้นได้เรียกนายทหารประจำฐานปฏิบัติการทุกคนมารับฟังคำสั่ง คำชี้แจงวิธีรักษาการป้องกันฐานปฏิบัติการ และการคุ้มครองความปลอดภัยให้กับราษฎร จนได้เวลาอันสมควรจึงประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปทรงเยี่ยมทหาร ตำรวจ ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์

 

ฉันต้องไปเพราะเป็นหน้าที่ของทหาร!! ย้อนรอยวีรกรรม "สมรภูมิพระราชา" บ้านหมากแข้ง กับ วินาทีเฉียดตาย ที่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตใครอีก !!

         แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะผ่านมากว่า ๔๐ ปี แล้ว แต่ผู้ที่ประสบภัยจากผลกระทบในสงครามครั้งนี้ ยังคงจำได้มิอาจลืม นั่นก็คือ เหตุการณ์ที่เฮลิคอปเตอร์ได้ตกลงมาใส่บ้านหลังหนึ่งจนเสียหายเกือบทั้งหลัง แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต มีเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย 

         ปัจจุบัน บ้านหลังดังกล่าว ได้เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โดยมีรูปภาพเฮลิคอปเตอร์ที่ตกใส่บ้าน นำมาติดตั้งไว้บนผนังนอกบ้าน  ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเหตุการณ์ความขัดแย้งอุดมการณ์ทางการเมืองในอดีต เพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้ความเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

 

 

 

ขอบคุณภาพจาก :  ภัทราวุธ  บุญประเสริฐ