สิ้นชีพ"ปลาสองน้ำ" จุดจบเปลี่ยนสี "ธาริต เพ็งดิษฐ์"ศาลจำคุก 3 เดือน?..อนาคตดับ รับใช้ระบอบทักษิณ?

สิ้นชีพ"ปลาสองน้ำ" จุดจบเปลี่ยนสี "ธาริต เพ็งดิษฐ์"ศาลจำคุก 3 เดือน?..อนาคตดับ รับใช้ระบอบทักษิณ?

   นอกจากนี้ นายธาริตยังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติโดย ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 10 มี.ค.59 ว่า นายธาริตร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า ศาลอุทธรณ์ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 346,652,588 บาท แต่เนื่องจากทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติบางส่วนมีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สิน ทำให้ไม่สามารถติดตามทรัพย์สินได้ คงเหลือทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.เคยอายัดทรัพย์ไว้ก่อนหน้านี้ 90,260,687 บาท ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติ ที่เหลือ 256,391,901 บาทให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส 
 

    ล่าสุด วันที่ 19 ม.ค.61 มีรายงานข่าวด่วนมากแจ้งว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาสั่งจำคุก นาย"ธาริต เพ็งดิษฐ์" อดีตอธิบดี DSI เป็นเวลา 3 เดือน ความผิดจงใจปกปิดทรัพย์สิน ปรับ 5,000 โทษคุกรออาญา 2 ปี ซึ่งหากย้อนกลับไป เมื่อ วันที่ 2 มี.ค.60 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำคุก “ธาริต เพ็งดิษฐ์” และ “ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ” คนละ 2 ปี กรณีโยกย้ายอดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ไม่เป็นธรรม แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา ซึ่งกราฟชีวิต ของ"ธาริต เพ็งดิษฐ์" อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เชื่อว่า อยุ่ในช่วงขาลง ถึงจมดิ่ง   เมื่อศาลฎีกาประทับรับฟ้องคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)  ยื่นฟ้อง"ธาริต" เเละพวก 3 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ 
หลังจาก 2 ศาลแรกยกฟ้อง ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 157, 200 ไม่เพียงเท่านั้น ภายหลังที่การเข้ามาบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เพียง2วันเท่านั้นเมื่อวันที่ 24 พ.ค.57 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 8/2557  มีคำสั่งย้ายเข้ากรุให้มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ ตามด้วยการถูกตรวจสอบร่ำรวยผิดปกติและถูกอายัดทรัพย์ 90 ล้านบาทในปี 2558  จากนั้นชีวิตก็เข้าๆออกๆศาลเป็นว่าเล่น 
   นอกจากนี้ นายธาริตยังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติโดย ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 10 มี.ค.59 ว่า นายธาริตร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า ศาลอุทธรณ์ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 346,652,588 บาท แต่เนื่องจากทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติบางส่วนมีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สิน ทำให้ไม่สามารถติดตามทรัพย์สินได้ คงเหลือทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.เคยอายัดทรัพย์ไว้ก่อนหน้านี้ 90,260,687 บาท ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติ ที่เหลือ 256,391,901 บาทให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส 

โดยตลอดชีวิตราชการของนายธาริตถูกระบุว่า รับใช้การเมือง ‘ทุกขั้วทุกสี’ และมักทุ่มสุดตัว ออกหน้าแทนโดยไม่แคร์ว่าจะถูกกล่าวหาว่า ‘เปลี่ยนสี’

    นายธาริต เริ่มต้นเกี่ยวข้องกับการเมืองนับตั้งแต่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ชักชวนให้มาช่วยงานด้านการเมือง เป็นทีมงานของ ‘พันธ์ศักดิ์ วิญญูรัตน์’ ที่ปรึกษา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี  
ขณะที่ดำรงตำแหน่งอัยการประจำกรม ระหว่างนั้นเป็นหัวหอกสำคัญในการร่วมร่างกฎหมายจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ สมัยที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นั่งเป็น รมว.ยุติธรรม แต่ยังไม่ได้นั่งเก้าอี้เป็นอธิบดีดีเอสไอโดยต้องรอต่อคิวอีกยาว
จากนั้นจึงไปร่วมยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และดำรงตำแหน่งเลขาธิการคนแรก ทั้งนี้นาย ธาริต เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "ผมถือว่ามีความก้าวหน้าในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย ความรู้สึกในบุญคุณ หรือความเมตตาที่ฝ่ายการเมืองให้กับผม ผมก็เก็บไว้ ความรู้สึกที่ดี หรือความเมตตาที่ได้รับ เราก็ไม่ได้จืดจาง เลอะเลือน หรือลืมไป ผมว่าข้าราชการที่เติบโตในช่วงนี้ ผ่านยุคสมัยของไทยรักไทยมาทั้งนั้น"

    กระทั่งรัฐบาล ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ นายธาริตมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ขณะนั้นไว้ใจ ให้ขึ้นเป็นหัวหอกดีเอสไอ เมื่อปี 2552 แต่การทำงานของเขากลับไม่ได้รับการไว้ใจ
จาก ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในขณะนั้น มากเสียเท่าไหร่ เพราะรู้ไส้รู้พุงว่า  นายธาริตโดนตราหน้าว่าเป็นคนของนายทักษิณ ทำให้จุดหักเหสำคัญของนายธาริตเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 เมื่อเกิดการชุมนุมของคนเสื้อแดง
นาย ถวิล เปลี่ยนศรี’ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขณะนั้น เป็นคนชักชวนให้นายธาริตเข้ามาร่วมกับ ‘วอร์รูม’ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งนายธาริตถือเป็นกลไกสำคัญหนึ่งที่ทำให้ ศอฉ. ยืนสู้กับคนเสื้อแดงมาได้  
ซึ่งธาริต เป็นคนเสนอแผนผังล้มเจ้าที่โยงใยคนเสื้อแดงกับกลุ่มการเมืองในที่ประชุม ศอฉ. พร้อมนำบุคคลในผังดังกล่าว เข้าสู่คดีพิเศษ เพื่อออกหมายเรียกให้มาชี้แจง หนำซ้ำยังเป็นคนจัดฉากให้ ‘สุเทพ’ มอบตัวต่อดีเอสไอ ตามคำขอของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อลดกระแสต้าน แต่ก็ไม่ได้ผล
 
    หลังจากนั้น ‘ธาริต’ ในฐานะอธิบดีดีเอสไอ ดำเนินการฟ้องร้องกลุ่มคนเสื้อแดง และ นปช. ในคดีก่อการร้าย หลายคดีด้วยกัน กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งในปี 2554 คนที่ "สุเทพ" เป็นห่วงมากที่สุดคือ ‘ธาริต’ จึงได้มอบรถกันกระสุนให้นายธาริตมาใช้เพื่อไว้ป้องกันตัวเองจากขั้วตรงข้ามที่อาจไม่หวังดี แต่เหตุการณ์กลับแปรผัน พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนเกม ไม่เด้งนายธาริตตามคำขู่ของ ‘เฉลิม อยู่บำรุง’ แกนนำพรรค แต่วางเกมให้นายธาริตเป็น ‘หมากตัวหนึ่ง’ เพื่อใช้ต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการทำคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในปี 2553
โดยนายธาริตได้สั่งให้ดีเอสไอรื้อคดีมาทำใหม่ทั้งหมด ทำให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ต้องตกอยู่ในฐานะจำเลยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังใช้นายธาริตเป็นคนขับเคลื่อนคดีความไม่โปร่งใสในการก่อสร้างโรงพักทดแทนทั่วประเทศ มูลค่า 5.8 พันล้านบาท 
เล่นงานนายสุเทพกลับ นาย ธาริต ตั้งต้นเป็นปฏิปักษ์กับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จนถูกมองว่า ‘เปลี่ยนสี’ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำแก้ตัวที่บอกว่า ต้องทำงานสนองนโยบายรัฐบาล เพราะถือเป็นผู้บังคับบัญชา ในวงลับเมื่อเจอเพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขในวง ศอฉ. มักจะเตือนนายธาริตกันว่า “ระวังจะกลายเป็นกิ้งกือตกท่อ” แต่เขาไม่สนใจ ทำตามคำสั่งของรัฐบาลเพื่อไทยต่อ กระทั่งการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ‘ธาริต’ ก็ยังเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ปราบม็อบ ทำตามคำสั่ง ‘เฉลิม’ จับจริงนายสุเทพ ตั้งข้อหาก่อการร้าย ไม่เหมือนในปี 2553 ที่แค่จัดฉากเล่นละคร