ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

แตกต่างกันเหลือเกิน!! นักเขียนดังชี้จริยวัตรงดงามไม่ฉาบมายาของ "คุณแม่จันดี" เทียบ "อ.อ้อย อัจฉราวดี" รู้เลยใครกันแน่ ฆราวาสบรรลุธรรมตัวจริง

            จากกรณีที่ อัจฉราวดี วงศ์สกล ที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้สำหรับประเด็นที่เธอบอกว่า ไม่ได้ออกบวช และสามารถบรรลุธรรมได้ รวมไปถึง สอนว่า "อย่าเชื่อพระไตรปิฎกที่พระสอนๆ กัน เพราะพระไม่เคยปฏิบัติ" และจากเว็บไซต์ alittlebuddha ได้ออกมาเปิดประเด็นถึงกระแสดังกล่าว โดยที่เรียกเธอว่า "พระอริยะพันธุ์พิเศษ" ที่นับวันจะสร้างกระแส "ลดคุณค่าของพระและวัดลงไปทุกที และสังคมก็เกิดคำถามว่า แบบนี้เรียกว่า เป็นผู้บรรลุธรรมนอกตำราหรือเปล่า วิธีที่เธอทำและถ่ายทอดสู่ผู้ศรัทธา ... เป็นหนทางพ้นทุกข์ได้จริงไหม

 

อ่านข่าวเพิ่มเติม อริยะพันธุ์พิเศษ?! เว็บดังเปิดประเด็น อ.อ้อย เจ้าสำนัก "เตโชวิปัสสนา" อ้างเป็น "ฆราวาสบรรลุธรรม" โดยไม่ต้องบวช สื่อจิตกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้

แตกต่างกันเหลือเกิน!! นักเขียนดังชี้จริยวัตรงดงามไม่ฉาบมายาของ "คุณแม่จันดี" เทียบ "อ.อ้อย อัจฉราวดี" รู้เลยใครกันแน่ ฆราวาสบรรลุธรรมตัวจริง

          ล่าสุด ผู้ใช้เฟสบุ๊ค Jaruvat Chanposri นักเขียนชื่อดัง "ทิพยจักร" ก็ได้แสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว และได้กล่าวถึง "คุณแม่จันดี โลหิตดี" อุบาสิกาผู้บรรลุธรรมแห่งวัดป่าบ้านตาด โดยมีข้อความระบุว่า

แตกต่างเหลือเกิน

         สองสามวันมานี้ได้ข่าวถึง "อัจฉราวดี" นักปฏิวัติธรรมสายใหม่แหวกแนว ที่บัญญัติวิชาของตนขึ้นว่า เตโชวิปัสสนา อีกทั้งประกาศชัดว่า เราคือผู้บรรลุธรรม และที่เป็นข่าวเกรียวกราวขึ้นมาก็คือวาทะของ อัจฉราวดี ที่จวกว่า พระสงฆ์ค่อนประเทศมอมเมาประชาชน และคนเราไม่ต้องไปวัดก็ได้

         คำสอนดูเหมือนดีแต่ดูดีๆแล้วเป็นอันตรายนะครับ ผมเองทิพยจักรและน้องๆบางท่านเคยท้วงติงคำสอนของสำนักนี้ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ถึงพระโสดาบันอย่างไม่เหมาะสมมาแล้ว แต่โดนลบคอมเม้นต์ซะเกลี้ยงเลย

 

แตกต่างกันเหลือเกิน!! นักเขียนดังชี้จริยวัตรงดงามไม่ฉาบมายาของ "คุณแม่จันดี" เทียบ "อ.อ้อย อัจฉราวดี" รู้เลยใครกันแน่ ฆราวาสบรรลุธรรมตัวจริง

         ผมเองขึ้นหัวข้อว่าแตกต่างเหลือเกิน ก็เพราะในชีวิตผมเคยได้สัมผัสคุณธรรมของคุณแม่จันดี โลหิตดี น้องสาวของหลวงตามหาบัว ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอุบาสิกาผู้บรรลุธรรมแห่งวัดป่าบ้านตาด สมัยนั้นที่ผมไปกราบท่าน ท่านจะรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียวเช่นพระภิกษุทั่วไป อาหารที่มีคือข้าว น้ำพริก ส้มตำ อาหารอีสานทั่วไป เวลาทานก็ทานบนแคร่ง่ายๆไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เวลาเข้าหาท่านรู้สึกเย็นอกเย็นใจ พอท่านเห็นหน้าสนทนาจะถามเรื่องการปฏิบัติทันที และถามว่าอยู่ที่ไหนใกล้ครูบาอาจารย์ท่านไหน ทำไปถึงไหนแล้ว ทุกวันเวลาบ่ายสามท่านจะเดินจงกรมเป็นปกติ จริยาวัตรเรียบง่ายและเมื่อสดับธรรมท่านผมยืนยันได้เลยว่าเป็นธรรมชั้นสูงที่ตรงต่อการหลุดพ้นล้วนๆไม่มีมายาฉาบทาแม้สักนิดก็ไม่มีเลย มองคุณแม่จันดีแล้วหันมามองอัจฉราวดี มันช่างไกลกันเหลือเกิน ทั้งคำสอน ทั้งจริยา

         ฆราวาสปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลใดก็ตาม จิตใจย่อมเทิดทูนพระรัตนไตรไม่แยกออกจากกัน ให้ความนับถือพระพุทธ พระธรรมสูงส่งเพียงไรก็นับถือพระสงฆ์สูงส่งเพียงนั้น ยิ่งถึงธรรมยิ่งถ่อมตัว แม้การอยู่บ้านจะปฏิบัติธรรมได้แต่ก็ไม่กีดกัน ห้ามปรามหรือเชิญชวนมิให้คนเข้าวัด ยิ่งเข้าถึงธรรม ชีวิตย่อมเรียบง่าย ไม่มีหน้าไม่มีตาในสังคม ไม่มีอัตตาดูถูกเหยียบย่ำคนอื่นแล้วยกตัวว่าดีกว่า ดูว่าปฏิบัติไปถึงขั้นไหนดูไม่ยากครับดูจากการใช้ชีวิตในปัจจุบันแค่นี้ก็พอรู้ได้

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอเทิดทูนพระคุณแม่จันดีไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมเป็นแบบอย่างแห่งฆราวาสผู้ทรงธรรมอันบริสุทธิ์โดยแท้

 

แตกต่างกันเหลือเกิน!! นักเขียนดังชี้จริยวัตรงดงามไม่ฉาบมายาของ "คุณแม่จันดี" เทียบ "อ.อ้อย อัจฉราวดี" รู้เลยใครกันแน่ ฆราวาสบรรลุธรรมตัวจริง

            สำหรับคุณแม่จันดี ท่านจะให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติภาวนา ได้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยนจากหลักความจริงตามธรรมคำสอนของพระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) มหาบัวทุกอย่าง ท่านเมตตาเล่าถึงการปฏิบัติของท่านที่ยากลำบากแม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มาก็แลกด้วยชีวิต ความตอนหนึ่ง ได้ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า..“ให้เอาชีวิตแลกธรรม” ตอนนั้นเอง พระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) ก็บอกให้ท่านเร่ง "มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย เร่งเลย.."

            ท่านจะพูดเสมอว่า "พระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) สอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) แล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนา จะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย..."

 

แตกต่างกันเหลือเกิน!! นักเขียนดังชี้จริยวัตรงดงามไม่ฉาบมายาของ "คุณแม่จันดี" เทียบ "อ.อ้อย อัจฉราวดี" รู้เลยใครกันแน่ ฆราวาสบรรลุธรรมตัวจริง

           ในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๕ ทุ่มครึ่งเป็นคืนที่ ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนาข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า.."อายะตะนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์"

            จิตตอนนั้นจ่อเฉยๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิ สั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อมๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด .. ถึด .. ถึด.. แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุกๆ ชั้น ชั้นพรหมทุกๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้องเสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต "ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ" ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) ได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมดเพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง ท่านบอกว่า..ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ

             คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน...

             เมื่อพบพระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) อีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวะธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้น… พอกล่าวจบ พระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) พูดขึ้นว่า.. "อ้าย(พี่) หมดห่วงแล้ว..."

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : Facebook Jaruvat Chanposri