- 23 ม.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.richmancando.com
จดไว้เลย...!!!
วันนี้ (23 มกราคม 2561) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึง พรบ.การเลือกตั้งว่า เป็นการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยส่วนตัวรับฟังเหตุผลมาตลอด แต่ทั้งนี้ ต้องมีขั้นตอนการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน ซึ่งต้องตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายพิจารณาร่วมกัน พร้อมกล่าวยืนยันว่า จะมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เราต้องทำให้สภามีความเข้มแข็ง ต้องเชื่อมั่น เพราะที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อสภามากนัก โดนตนเองต้องทำเป็นตัวอย่าง ต้องเชื่อมั่นใน สนช และ กรธ. และจะไม่เข้าไปก้าวล่วงการทำงาน เพราะการก้าวล่วงการทำงานเป็นสิ่งไม่ดี จะทำให้ทุกคนทำงานไม่ได้ พร้อมทั้งต้องรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ด้านเอกชน กอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยกรณีที่จะมีการเลื่อนเลือกตั้งออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ไทยสูญเสียโอกาสจากการลงทุนทั้งจากในประเทศ และ ต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุนจะให้น้ำหนักการเลือกตั้ง และ ความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 4% และ เศรษฐกิจโลกขยายตัวที่ 3.7% หลังจากส่งออกยังขยายตัวได้ดี แม้จะน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม ประกอบกับ การท่องเที่ยว และ การลงทุนของภาครัฐ และ เอกชน ยังเป็นแรงส่งที่สำคัญ โดยเห็นได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิตขยับขึ้นมาอยู่ที่ 64% และ เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 68%
"การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปส่งผลให้เราเสียโอกาสในการลงทุน หากดูจากส่งออกเราเพิ่งมาเกิน 2 หลัก แต่เพื่อนบ้านเกิน 2 หลักมานานแล้ว และ นี่ยังมาเจอการเมืองเข้ามาอีก ก็จะทำให้เม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในไทยลดลง"กอบสิทธิ์ กล่าว
สำหรับทิศทางของกระแสเงินทุนที่เข้ามาตั้งแต่ปี 60 ถึงปัจจุบันยังไหลเข้ามาในพันธบัตรสูงถึง 9 แสนล้านบาท จากต้นปี 60 ที่อยู่ 5.5 แสนบ้านบาท โดยแบ่งเป็นพันธบัตรระยะยาว 7.3 แสนล้านบาท และ ระยะสั้น 1.6-1.7 แสนบ้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในเดือนพ.ค. 56 ที่ตอนนั้นค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 28.50 บาท/ดอลลาร์
เงินทุนที่ไหลเข้าไทย ส่วนใหญ่ลงทุนในตลาดพันธบัตรเป็นจำนวนมาก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติประเมินไทยเป็นประเทศที่ปลอดภัยในการลงทุน และ มีหนี้สินต่างชาติอยู่ในระดับต่ำ และ มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของประเทศอื่นๆ แต่มองว่าตลาดพันธบัตรจะได้รับแรงกดดันตั้งแต่กลางปีนี้ที่ธนาคารกลางยุโรป(ECB) จะยกเลิก QE และ จะมีการพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยในปี 62 ส่งผลให้สภาพคล่องลดลง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตลาดพันธบัตร
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทสิ้นปีนี้คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์ จากประมาณการเดิมที่คาดไว้ 34.00 บาท/ดอลาร์ หลังจีนเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ประกอบกับ เงินหยวนคิดเป็น 1% ของเงินทุนสำรองโลก ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะเป็นอันดับ 2 ของโลก ในขณะที่สหรัฐคิดเป็น 64% ของเงินทุนสำรองโลก
นอกจากนี้ นักลงทุนยังลดความสนใจค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และ หันมาสนใจสกุลยูโรมากขึ้น หลังตัวเลข PMI ภาคการผลิตและการบริการในยูโรโซนขยายตัวได้ถึงมากกว่า 50 จุด สะท้อนเศรษฐกิจในยูโรโซนที่จะขยายตัวได้มากกว่า 2% ใกล้เคียงกับสหรัฐ
"ต้องยอมรับค่าเงินเราแข็งค่าขึ้นเร็วตั้งแต่ต้นปีมา รองจากค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย ซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง การส่งออกก็ยังเติบโตได้ดี รวมถึงค่าเงินสหรัฐอ่อนค่าลง โดยมองว่าหลังหลุดแนวรับที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์ มาตั้งแต่เดือนพ.ย.60 ปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ 31.89 บาท/ดอลลาร์ และ มีแนวโน้มแข็งค่าต่อที่ระดับ 31.20 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จากเดิมมอง 32.30 บาท/ดอลลาร์ รวมถึงเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ โดยธปท.มองว่าปีนี้จะอยู่ที่ราว 1.1% ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าเป้าหมาย"กอบสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบความเสียหายจากการแข็งค่าของเงินบาทตั้งแต่ในปี 59 ที่ระดับ 35.85 บาท/ดอลล่าร์ จนถึงปัจจุบันที่ 32.00-33.00 บาท/ดอลล่าร์ ส่งผลให้ไทยสูญเสียรายได้ในรูปเงินบาทประมาณ 1.2 แสนล้านบาท