ทรัมป์!! ยอมยุติมาตรการห้ามผู้ลี้ภัยจาก11 ประเทศ “กลุ่มเสี่ยง” เข้าสู่สหรัฐ แต่ให้เพิ่มมาตรการตรวจค้นที่ “เข้มงวดมากขึ้น”

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.gninternews.com

ทรัมป์!! ยอมยุติมาตรการห้ามผู้ลี้ภัยจาก11 ประเทศ “กลุ่มเสี่ยง” เข้าสู่สหรัฐ แต่ให้เพิ่มมาตรการตรวจค้นที่ “เข้มงวดมากขึ้น”

เมื่อวันจันทร์ที่ 29 ม.ค. 2018 รัฐบาลวอชิงตันได้ประกาศยุติมาตรการห้ามผู้ลี้ภัยจาก “กลุ่มประเทศเสี่ยง” ในการเดินทางเข้าสู่สหรัฐ ซึ่งครบกำหนด 90 วันแล้ว แต่พลเมืองจากกลุ่มประเทศเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับมาตรการคัดกรอง “เป็นกรณีพิเศษ” ที่จะมี “ความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น”

นางเคิร์สต์เจน นีลเซน รมว.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ (ดีเอชเอส) กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีคำสั่งเมื่อช่วงปลายเดือนต.ค. ปีที่แล้ว ให้ระงับการรับผู้ลี้ภัยจาก “11 ประเทศ” ที่ถือเป็น “กลุ่มเสี่ยงด้านความมั่นคง” เป็นเวลา 90 วัน โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศที่อยู่ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ได้แก่ อียิปต์ อิรัก อิหร่าน ลิเบีย มาลี เกาหลีเหนือ โซมาเลีย ซูดานใต้ ซูดาน ซีเรีย และเยเมน ซึ่งเป็นประเทศที่ “มีปัญหา” ด้านนโยบายกับรัฐบาลปัจจุบัน และเป็นประเทศที่ปธน. ทรัมป์ประกาศหลังรับตำแหน่งว่า ต้องการระงับการเข้าเมืองของผู้ถือสัญชาติเหล่านี้

สถิติของดีเอชเอสระบุว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมานั้น ผู้ลี้ภัยจาก 11 ประเทศข้างต้นมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 40% ของจำนวนผู้ลี้ภัยที่รัฐบาลวอชิงตันอนุมัติการตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐชุดก่อนหน้า คือ ในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา กำหนดโควต้าผู้ลี้ภัยสำหรับปีงบประมาณ 2017 ที่เริ่มเมื่อเดือนต.ค. 2016 ไว้ที่ 110,000 คน ก่อนที่ทรัมป์จะตัดลงกว่าครึ่งให้เหลือ 53,000 คน และจะลดลงอีกเหลือ 48,000 คน ในปีงบประมาณ 2018.

 

 

เรียบเรียงโดย อรรคเดช ศรีพิพัฒน์ สยามมีเดีย-ทีนิวส์