- 01 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.richmancando.com
กลิ่นทะแม่ง ๆ เอาละสิ ขสมก.ยันโปร่งใส แต่โยนบาปให้รัฐ รีบเซ็นตามนโยบาย.....
ขณะที่ฝ่ายภาครัฐ ขสมก.ออกมายืนยันถึงความโปร่งใสจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี โดย ประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ออกหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณี วัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบความโปร่งใสของการจัดซื้อรถเมล์ NGV ว่า เนื่องจาก ขสมก. มีความจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐ ให้เร่งจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนรถเดิมอย่างรวดเร็ว ประกอบกับกรมการขนส่งทางบกได้จัดสรรเส้นทางเดินรถให้องค์การจัดรถโดยสารเข้าเดินรถตามเส้นทางที่ได้รับจัดสรร ซึ่งองค์การมีรถโดยสารไม่เพียงพอที่จะนำมาวิ่งในเส้นทาง อีกทั้งองค์การได้ดำเนินการจัดหามาแล้ว จำนวน 7 ครั้ง ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จึงได้ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 75 ซึ่งกำหนดว่า “หากปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว หรือมีผู้ยื่นข้อเสนอหลายราย แต่ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดในหนังสือเชิญชวนเพียงรายเดียว ให้คณะกรรมการดำเนินการตามข้อ 56 โดยอนุโลม” โดย ขสมก.ได้ดำเนินการตามระเบียบทุกขั้นตอน
ดังนั้น ขสมก. ยืนยันว่า จัดซื้อรถโดยสาร NGV 489 คัน ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติ จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 74 ด้วยวิธีคัดเลือก โดยเชิญผู้ประกอบการ จำนวน 11 รายเข้ายื่นข้อเสนอปรากฏว่ามี ผู้เสนอราคาเพียงรายเดียว คือ กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO โดยบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) และบริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด(มหาชน)
โดยกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO โดยบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทหลัก เสนอราคาสูงกว่าราคากลางประมาณ ร้อยละ 5 แต่ยังอยู่ในวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการฯ ได้เจรจาต่อรองราคาจนถึงที่สุดแล้ว ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 57 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า “…ในกรณีที่ปรากฏว่าราคาของผู้ที่ชนะการเสนอราคา ยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างให้คณะกรรมการดำเนินการ ดังนี้” และข้อ 57 (1) กำหนดว่า “….หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคา และราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างหรือสูงกว่า แต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง หรือต่อรองราคาแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีก แต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้ที่เสนอราคารายนั้น” โดย ขสมก.ได้ดำเนินการตามระเบียบทุกขั้นตอน
ส่วนการกำหนดราคากลางรถโดยสาร NGV องค์การกำหนดราคากลางสำหรับการจัดซื้อ โดยการสืบราคาจากท้องตลาด จากผู้ประกอบการ จำนวน 5 ราย เพื่อนำมากำหนดเป็นราคากลาง และเป็นราคาอ้างอิงในการจัดหาครั้งนี้ ซึ่งอยู่ในช่วงราคา 3.549 - 5.000 ล้านบาท แต่เพื่อประโยชน์ขององค์การ จึงได้นำราคาของรายต่ำสุดมากำหนดเป็นราคากลาง ในขณะที่ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 4 กำหนดความหมายของราคากลางไว้ว่า “ราคากลาง” หมายความว่า ราคาเพื่อใช้เป็นฐานสำหรับเปรียบเทียบราคาที่ผู้ยื่นข้อเสนอได้ยื่นเสนอไว้ ซึ่งสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้จริง ดังนั้น จึงทำให้ราคาที่องค์การนำมาใช้เป็นราคากลาง ต่ำกว่าที่ผู้ประกอบการได้เสนอราคามาจริง อย่างไรก็ตามราคาที่องค์การต่อรองได้นั้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่สืบราคาจากท้องตลาด จากผู้ประกอบการทั้ง 5 รายแล้ว พบว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ราคาต่ำของช่วงราคานั้น โดยการดำเนินการในครั้งนี้องค์การได้หารือกับ กรมบัญชีกลางทุกขั้นตอน
ประเด็นการประชุมของคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ คณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2560 อนุมัติให้ ขสมก. ดำเนินการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสาร จำนวน 489 คัน กับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO โดยบริษัท ช ทวี จำกัด(มหาชน) และบริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) และในการประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ ครั้งที่ 16/2560 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ได้มีมติรับรองการประชุมโดยคณะกรรมการฯเสียงข้างมาก
สำหรับสัญญาเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์พร้อมอุปกรณ์ (E-ticket) ของบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) องค์การได้ทำสัญญาเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์พร้อมอุปกรณ์ (E-ticket) กับบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) ให้ติดตั้งเครื่องอ่านบัตรและเครื่องเก็บค่าโดยสารบนรถ จำนวน 2,600 คัน ซึ่งขณะนี้ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งและส่งมอบ และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุของ ขสมก.ยังไม่ได้มีการตรวจรับ อยู่ระหว่างการตรวจรับและทดสอบระบบ ซึ่งตามสัญญา บริษัทฯ จะส่งมอบงานภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2561 เมื่อคณะกรรมการตรวจรับเรียบร้อยแล้ว จึงจะตั้งเบิกจ่ายให้บริษัทฯ ปัจจุบันองค์การไม่ได้จ่ายค่าเช่าระบบให้กับบริษัทฯแต่อย่างใด
สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าตั้งข้อสังเกตุถึงความรวบรัดในการเซ็นสัญญาครั้งนี้ เพราะทำไมภาครัฐไม่ตรวจสอบถึงฐานะการเงินของบริษัทที่มารับงาน เนื่องจากในงบการเงินงวด 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2560 บริษัทขาดทุนสะสมราว 41 ล้านบาท และบริษัทตั้งเป้าจะล้างให้มหดภายในปีนี้ จึงได้เห็นภาพว่า ภายหลังจากได้งาน ปรากฎว่า ช ทวี หรือ CHO ก็เริ่มหาทุนมาดำเนินกิจการ แทบจะทำทุกทางตั้งแต่การเพิ่มทุนให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง ขายให้กับ "Macquarie Bank Limited" กองทุนจากออสเตรเลียไม่เกิน 185,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ซึ่งได้รับกลับมากว่า 46 ล้านบาท และจะมีการขายหุ้นเพิ่มทุนในรอบ 2 อีกเพื่อขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม
นอกจากนั้นจากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่า สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ได้ขายหุ้นของบมจ. ช ทวี (CHO) ออก เมื่อวันที่ 22/12/2560 จำนวน -3.381% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้ภายหลังจากการขายเหลือสัดส่วนเป็น 43.642% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
สุรเดช เองก็ยอมรับว่า จะนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนมาใช้หมุนเวียน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและรองรับการขยายธุรกิจหลักของบริษัทฯ รวมทั้งเสริมสร้างให้บริษัทฯ มีฐานะเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรองรับงานโครงการอื่นๆ ทั้งที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน และที่คาดว่าจะประมูลได้ เพิ่มเติมในอนาคต และจะส่งผลให้ลดภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเงิน และลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของบริษัทฯได้
สำหรับประเด็นเพิ่มเติมอีกครือ เรื่องการติดตั้งเครื่องอ่านบัตร (E-Ticket) และเครื่องเก็บค่าโดยสาร (Cash box) ล่าช้า และชำรุดใช้งานจริงได้ไม่ครบตามจำนวนที่ติดรอบแรก ทำให้ ขสมก. สั่งปรับบริษัท ๆ คาดว่าไม่เกิน 4 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้ถอดเครื่องออกเพื่อนำมาติดตั้งซอฟแวร์ใหม่ และจะเริ่มทยอยติดตั้งอีกครั้งในปี 61 และมั่นใจจะติดตั้งได้ครบ 2,600 คัน ภายในกลางปี 61 ตามแผนที่วางไว้
ดังนั้นเมื่อเอกชนมีข้อบกพร่อม เช่นนี้ หรือ มีตำหนิหลายที่ แต่ภาครัฐก็ยังเซ็นสัญญา แม้ทางนิตินัยจะถูกต้อง แต่พฤตินัย ประชาชนยังกังขาหลายประเด็น.....