เรื่องแบบนี้-นกม.ไม่กล้าทำ?! "บิ๊กตู่" สั่งเบรกเหมืองชัยภูมิ-ยันชีวิตคนมีคุณค่า รับรองเรื่องแบบนี้ไม่เจอในยุคนักเลือกตั้งครองเมืองแน่

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 


วันนี้มีข่าวใหญ่ทางสิ่งแวดล้อมอยู่ชิ้นหนึ่ง นั่นคือ การที่ "บิ๊กตู่" หรือ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะ คสช. ได้เผยในที่ประชุม "การมอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี กรุงเทพฯ โดยนายกฯ ระบุว่า กรณีที่มีคำสั่งให้ระงับการทำเหมืองแร่ที่จังหวัดชัยภูมิ เพราะประชาชนประท้วง โดยอุตสาหกรรมจังหวัดจะต้องคิดร่วมกันในการแก้ไขปัญหา ซึ่งรัฐบาลไม่ได้รังแกผู้ประกอบการ แต่ประชาชนได้เรียกร้องให้หยุดดำเนินการมาหลายรัฐบาลแล้ว เพราะรัฐบาลนี้เห็นว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง จึงต้องนำความเดือดร้อนของประชาชนมาพิจารณาก่อน แม้ผู้ประกอบการจะได้รับความเสียหาย แต่ตนถือว่าประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด เราไม่ได้มองว่าจะแพ้คดีแล้วเสียเงิน แต่เห็นว่าชีวิตคนคนหนึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้


 

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีนั้น...ชัดเจนในตัวเองว่า "รัฐบาลนี้เห็นว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง จึงต้องนำความเดือดร้อนของประชาชนมาพิจารณาก่อน" ทั้งยังบอกว่า "ประชาชนได้เรียกร้องให้หยุดดำเนินการมาหลายรัฐบาลแล้ว" นั่นยิ่งสะท้อนว่า...รัฐบาลเลือกตั้งที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย...และคนกลุ่มหนึ่งหลงไหลได้ปลื้ม...ไม่เคยฟังเสียงประชาชนมิเช่นนั้นเรื่องคงไม่คาราคาซังมาขนาดนี้


ความจริงเหมืองแร่โปแตชอาเซียนที่ชัยภูมิ เจอแรงต้านจากชาวบ้านมาตลอด โดยมองว่าการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 56 เมกะวัตต์ เพื่อนำไฟฟ้าไปใช้ในกิจการเหมือง จะนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมดังที่เกิดขึ้นมาแล้วในหลาย ๆ พื้นที่ เพราะบริเวณหัวเหมืองมีหมู่บ้านแวดล้อมเต็มไปหมด...ชาวบ้านจึงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้...และคัดค้านเรื่อยมา กระทั่งตกมายุค คสช.ดังกล่าว

 

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาล คสช. สั่งระงับกิจการเหมืองที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2559 ครม. ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตัดสินใจให้ยุติการสัมปทานเหมืองแร่ทองคำ  บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่มีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด สัญชาติออสเตรเลีย เป็นบริษัทแม่มาครั้งหนึ่งแล้ว


แน่นอน เหมืองทองอัครา ถูกชาวบ้านร้องเรียนมาโดยตลอดเช่นเดียวกับเหมืองที่ชัยภูมิ...ดีไม่ดีอาจจะหนักหน่วงกว่าเสียด้วย เพราะมันส่งผลกระทบปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างรุนแรง เริ่มจากฝุ่นละออง เสียง และแรงสั่นสะเทือน ที่เกิดจากการระเบิดเหมืองตลอดเวลาทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนในการเปิดหน้าดินนั้นส่งผลต่อชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตัวเหมืองอยู่ใกล้กับชุมชน ในระยะใกล้ที่สุดเพียง 500 เมตร ภูเขา ป่าไม้ แหล่งน้ำตามธรรมชาติถูกทำลาย และเริ่มปนเปื้อนโลหะหนักจากการทำเหมือง ขณะที่วิถีชีวิตของชาวบ้านรอบเหมืองเริ่มเปลี่ยน ข้าวปลาอาหาร น้ำอุปโภค-บริโภค-น้ำในการเกษตรเหือดแห้ง และไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป ชาวบ้านต้องซื้อน้ำกินน้ำใช้ และเริ่มเจ็บป่วยด้วยอาการแพ้ มีผื่นคันเป็นตุ่มหนองตามผิวหนัง

 
.....แต่แปลกรัฐบาล "ประชาธิปไตย-ที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง" กลับไม่ดูดำดูดีเรื่องนี้...ลอยแพชาวบ้าน...ทั้งที่จุดเริ่มต้นของเหมืองตนเองก็มีส่วนอยู่มาก เพราะเหมืองเริ่มเปิดในยุคทักษิณ 1 ทว่ารัฐบาล คสช. กลับมองเห็นทุกข์ภัยของชาวบ้าน...แล้วสั่งยกเลิกตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง เมื่อขึ้นมาบริหารประเทศ...กระทั่งก่อให้เกิดข้อพิพาทกับบริษัทแม่ของเหมืองอยู่ในขณะนี้ (ซึ่งรัฐบาลก็สู้ประเด็นนี้เต็มที่)


...เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้...คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมอีก ว่ารัฐบาล คสช. มองชีวิตชาวบ้านต่างจากรัฐบาลเลือกตั้งที่อ้างตัวว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตยมากน้อยเพียงไร...เพราะคำกล่าวของ "บิ๊กตู่" ข้างต้นก็ชัดในตัวเองอยู่แล้ว....และบอกเลยว่า...เรื่องนี้ไม่เจอในยุคนักการเมืองครองอำนาจแน่