ติดตามรายละเอียด : FB. Deeps News

สืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จับตัวนายเปรมชัย กรรณสูต ที่เข้าป่าพร้อมพวกล่าสัตว์ จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์จากสังใคมต่างๆ นานาและมีการสาปแช่งให้ได้รับผลกรรมที่ก่อ รวมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตว่า เปรมชัยอาจกำลังได้รับผลกรรมที่ก่อเพราะเป็นที่สังเกตว่าเหมือนเจ้าตัวกำลังป่วยด้วยโรคบางอย่างอยู่ (ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไม่ใช่กรรม..จะเรียกอะไร!!! เพจดังโฟกัส ขาขวา "เปรมชัย" นักล่า(ยิงฆ่า)สัตว์ป่า "บวมดำคล้ำ" เป็นโรค..??)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุดโลกโซเชียลได้มีการแชร์ข้อความประสบการณ์ตรงของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของพ่อเขาว่า (นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงไม่โพสต์เกี่ยวกับเจ้าสัวเข้าป่าเลย)...ตั้งแต่มีข่าวบอสบ.ก่อสร้าง ผมไตร่ตรองอยู่นานหลายวันว่าจะเขียนโพสต์อย่างไรเกี่ยวกับ "คุณพ่อ" แบบไม่ถูกประณามว่าเป็นลูกอกตัญญู สุดท้ายกลางดึกคืนนี้ผมจึงตัดสินใจเขียนตาม "ความจริง"

 

หนีไม่พ้นหรอกกรรมเวร!! เรื่องจริงน่าเศร้าจากครอบครัวนักล่าฆ่า"วัวกระทิง"อ่านจบ เห็นภาพชะตาชีวิตเจ้าสัวรัวปืนยิงเสือดำคงไม่ต่างกัน?

 

ตั้งแต่เด็กจนโต ผมเห็นคุณพ่อผมมีความสุขกับเกมการ "ล่า" คุณพ่อไปป่ากับเพื่อนแทบจะทุกสัปดาห์เพื่อล่าสัตว์ ไม่ต่างจากบอสใหญ่ท่านนี้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผมเห็นภาพเจ้าสัวนั่งในป่าพร้อมซากสัตว์ มันจึงเกิดเสียงสะท้อนเข้าไปถึงจิตใจลึกๆ ของตัวผมเอง เจ้าสัวคงมีความสุขกับการอยู่กับธรรมชาติในฐานะสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งบนโลก ไม่แตกต่างจากคุณพ่อของผม ความสุขที่ได้กลับสู่ความเป็นตัวตนแท้จริงของเรา ที่ไม่ต้องมีหัวโขนใดๆ ไม่มีโลกสวย ไม่มีม่านจริยธรรม ...ไม่มีเรื่องงี่เง่าที่ถูกปลูกฝังไว้ใดๆ มากักขังจิตใจเราอีกต่อไป ได้ปลดปล่อยทุกอย่างมันออกมาในฐานะผู้ล่าตามธรรมชาติชนิดหนึ่งเท่านั้น แม้มันจะดูเพี้ยนๆ ในสายตาคนเมือง แต่นี่มันคือการกลับสู่ธรรมชาติจริงๆ 

 

อย่าคิดว่าคนรวยจะสุขสบายทุกอย่าง เพราะเมื่อเงินซื้อมันมาหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว **ความน่าเบื่อ** มันก็เข้ามากัดกินจิตใจ นี่กระมังที่ทำให้เจ้าสัวชราเข้าป่าหันปืนยิงเพชฌฆาตผู้ถูกขนามนามว่าเป็นนักล่าแห่งพงไพรอย่างเสือดำ คมเขี้ยวกับลูกปืน มาวัดอำนาจท้าทายชีวิตกันดู

 

.....ประมาณ พ.ศ.2533 พ่อผมและเพื่อนเข้าป่าล่าสัตว์ดังทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เจอหมูป่า,เก้ง,กระต่ายป่า ฯลฯ แต่...กลับเจอ "วัวกระทิง" แถมเป็นตัวโตเต็มวัยอีกด้วย มันยิ่งกว่าถูกหวย มันช่างท้าทายชีวิตเสียจริง เพราะหากหันปากกระบอกปืนยิงออกไปแล้ว วัวกระทิงจะวิ่งเข้ามาขวิด หากมันมาถึง พ่อผมและเพื่อนๆ ต้องตาย หากยิงมันตายก่อน นั่นคือวินาทีแห่งชัยชนะ วินาทีแห่งครั้งหนึ่งในชีวิต วินาทีแห่งเกียรติยศในฐานะนายพราน เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อผมจึงเหนี่ยวไกยิงเป็นคนแรก และวัวก็วิ่งเข้ามา เพื่อนๆ อีกเกือบยี่สิบคนช่วยกันรุมยิง จึงจบชีวิตวัวกระทิงได้สำเร็จ ทุกคนที่ไปวันนั้นดีใจมาก คุณพ่อผมได้ขาและสะโพกชิ้นใหญ่กลับมาที่บ้านเป็นรางวัลที่เป็นผู้กล้ายิงกระสุนนัดแรก ที่บ้านทำต้มยำเนื้อกระทิงกินกัน ทุกคนกินกันหมดยกเว้นผม เพราะเนื้อมันเหนียวมาก ผมคายทิ้งแล้วเดินหนี

 

....เวลาผ่านมาราว 1 ปี คุณแม่ผมถอนฟันซี่เดียวเส้นเลือดสมองแตกกลายเป็นอัมพาต และบังเอิญคุณแม่เป็นรายได้หลักของบ้าน ทำให้คุณพ่อต้องแบกภาระทั้งหมดไว้ ทำให้คุณพ่อต้องทำงานหนัก สุดท้ายโรคไต,ตับก็กำเริบ สุดท้ายพ่อน้ำก็คั่งขึ้นสมอง พ่อกลายเป็นคนเสียสติ ลงคลานสี่ขา ร้องโหยหวน "อย่าฆ่าผมเลย" ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปีจึงเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน ครอบครัวผมแตกสาแหรกขาดพังพินาศ และแว่วๆ มาว่าเพื่อนทั้งยี่สิบคนที่ไปวันนั้นได้เสียชีวิตลงแปลกๆ ทั้งหมดทุกคนเช่นกัน

 

เรื่องแบบนี้ ไปเล่าให้ฝรั่งฟัง ฝรั่งคงงง เพราะไม่มีในตำราเรียนของเขา แต่ถ้าเป็นที่ประเทศนี้ คุณและผมคงพูดเหมือนกันว่านี่คือ "กฎแห่งกรรม" มันคือบาปเวรกรรมที่พ่อผมฆ่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่มามากมายนั่นเอง เจ้าเวรกรรมนี้เองที่ทำให้เจ้าสัวหมื่นล้านแสนล้านต้องเจออย่างปัจจุบันนี้ เจ้าเวรกรรมนี้เองที่ทำให้นายทหารผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอับอายจนไม่เหลือเกียรติใดๆ จากแค่การเอามือข้างที่มีนาฬิกาบังแสงแดดจ้า

 

และนี่จะช่วยเตือนเราเองด้วยว่า "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม"

 

*****โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านข่าว

 

 

 

 

ขอบคุณที่มา : กันตธนวรรธน์ บุญสังฐธรรม