เรื่องถึงคนนี้จนได้!! "บิ๊กตู่" คิดยังไง? พวกจอดรถขวางหน้าบ้าน ยกเคส "คุณป้า#ทุบรถ" เปรียบเทียบปัญหาบ้านเมือง !??

เป็นเหตุการณ์ที่หลายคนยังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ กรณีป้าเจ้าของบ้านในหมู่บ้านเสรีวิลล่า ย่านสวนหลวง เขตประเวศ กทม. ลงมือทุบรถกระบะที่มาจอดขวางประตูหน้าบ้าน จนคลิปดังกล่าวกลายเป็นไวรัลทั่วโซเชียล ที่สังคมให้ความสนใจ และต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นใจป้าเจ้าของบ้านเพราะนี่ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรกที่มีผู้มาจอดรถขวางหน้าบ้านของเธอ (คลิกชมคลิปวิดีโอด้านล่าง)

 

(แฟ้มภาพ)

 

 

ล่าสุด เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ได้กล่าวถึงประเด็นการจอดรถขวางประตูบ้าน จนเป็นเหตุให้ถูกทุบรถและกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องว่า ปัญหาของประเทศไทยตอนนี้คือเราไม่มีระเบียบวินัย ไปจอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น ทำอย่างนี้ได้อย่างไร เห็นอยู่แล้วว่าเป็นบ้านคน เป็นที่อยู่อาศัย ยังมาจอดรถขวางก็เลยเกิดกรณีขัดแย้ง และเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน

 

 

นอกจากนั้น ยังมีความเสียหายเกี่ยวโยงกับอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องตลาด การลงทุน ปัญหาสังคม สาเหตุก็มาจากความไม่เป็นระเบียบวินัย ไม่เคารพสิทธิผู้อื่น ก็เห็นใจทั้งสองฝ่าย แต่ก็ต้องมาต่อสู้กันด้วยกฎหมาย ซึ่งถ้าเข้าใจกฎหมายตั้งแต่แรก ไม่มีการละเมิดสิทธิก็ไม่เกิดปัญหา ไม่ว่าจะการละเมิดสิทธิ การเล่นแชร์ ปัญหาการจราจร การขายของบนที่สาธารณะ การโกงเงินสหกรณ์ ดังนั้นเราต้องพยายามสร้างความเข้าใจเรื่องกฎหมายให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมไม่ให้คนบางคนได้ประโยชน์จากกฎหมายเพียงฝ่ายเดียว.

 

ก่อนหน้านั้น  พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง  ผู้ว่าฯกทม. กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุกรณีที่เกิดขึ้น  โดยระบุว่ามี  2  ตลาดจาก  5 แห่ง  ที่มีการขออนุญาตใช้พื้นที่ก่อสร้างอาคารและใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่ไม่ได้มีการขออนุญาตตั้งตลาด  จึงสั่งการให้สำนักงานเขตประเวศ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้   พร้อมหาข้อสรุปให้เรียบร้อยภายใน 7 วัน คือภายในวันที่ 28 ก.พ. นี้  โดยการเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งเจ้าของตลาด และประชาชนในละแวกใกล้เคียงมาให้ข้อมูล รวมถึงจะออกคำสั่งเพื่อให้ 50 สำนักงานเขตลงพื้นที่ตรวจสอบความถูกต้องของตลาดในทุกพื้นที่ด้วย  ส่วนเรื่องการฟ้องร้องคดีต้องขอให้เป็นอำนาจของศาล โดยทางกรุงเทพมหานครจะไม่ไปก้าวล่วงอำนาจ   โดยเฉพาะคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดล่าสุดเมื่อปี 2559  ซึ่งสั่งการให้ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาใหม่อีกครั้ง