- 23 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
บานปลายหาจุดลงตัวยากจริง ๆ สำหรับคดีฟ้องร้องเรื่องการทุจริตโครงการปาล์มอินโดนีเซีย โดยเฉพาะกับฝ่ายผู้เสียหายอย่าง นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี จำกัด (PTTGE) ซึ่งล่าสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาหรือฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา รวมถึงยังใช้ช่องทางร้องขอความเป็นธรรมกับปปช.เพื่อให้กระบวนการสอบข้อมูลถูกต้อง (คลิกอ่านรายละเอียด : คงต้องถึงปธ.ศาลฎีกา!!! "นิพิฐ" เดินหน้าต่อขอความเป็นธรรม ยื่นร้องปปช.รอบ 16 ระงับ "สุภา" ยุ่งเกี่ยวสอบคดีปาล์มอินโดฯ !?? )
ความคืบหน้าในประเด็นดังกล่าว ทางด้าน นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมครั้งที่ 16 ยืนยันว่าข้อมูลที่ยื่นต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) เพื่อเป็นเหตุผลในการขอคัดค้านและเปลี่ยนตัว นางสาวสุภา ปิยะจิตติกรรมการ ป.ป.ช.ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีทุจริตโครงการปาล์มน้ำมัน ที่ประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่และเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ทำให้การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการป.ป.ช.เปลี่ยนแปลงไป
โดยหนึ่งในหลักฐานสำคัญ เป็นการสนทนาผ่านทางโปรแกรม วอตส์แอปป์ (WhatsApp) ระหว่าง นายบูลฮันหรือนายบูรฮาน พยานคนสำคัญที่นางสาวสุภา พร้อมทั้งคณะป.ป.ช. บินไปสอบสวนที่ประเทศอินโดนีเซีย กับนางแนนซี่ มาร์ตาสุตา อดีตรองประธานของ KITHA หอการค้าอินโดนีเซีย
ทั้งนี้บทสนทนาบางช่วงบางตอน ที่มีการนำรูปนางสาวสุภา มาเอ่ยถึง นางแนนซี่ ระบุขึ้นว่า “นั่น เป็นผู้หญิงคนนี้จริงใช่ไหม ที่เป็นผู้สอบสวนคุณบูรฮาน ในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 นายบูรฮาน กล่าวตอบไปว่า “ไม่ มันไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้และนางแนนซี่ไล่ถามอีกว่า “คุณแน่ใจว่าคุณได้ลงลายมือชื่อในรายงานของผลการสอบสวนในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 ซึ่งนายบูรฮาน ตอบไปว่า คุณแนนซี่ฟังผมผมไม่ได้เซ็นอะไรทั้งสิ้นในเวลานั้นและผมไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของพวกเขาทั้งหมด
นางแนนซี่ กล่าวขึ้นมาว่า “นี่หมายความว่ามีการกลั่นแกล้งทำลายกัน คุณสุภา จาก ป.ป.ช. ประเทศ ได้แจ้งข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและออกทางสื่อในประเทศไทย มีการกลั่นแกล้งกันด้วยลายมือชื่อปลอมของคุณบูรฮานในรายงานผลการสอบสวนหลังจากการสอบสวนในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 ซึ่งทั้งหมดได้ถูกทำขึ้นโดย ป.ป.ช. ประเทศไทย ดังนั้นนี่คือข้อสรุปใช่ไหม”
นายบูรฮาน สวนกลับมาทันทีว่า “พวกเขากล้าแสดงลายมือชื่อของผมเพื่อไปยืนยันเลยหรือ ซึ่งผมไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวเข้าออกจากห้องผมเลย” ซึ่งนางแนนซี่ ได้โต้ตอบอีกว่า “คุณสุภาแจ้งว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ประเทศไทย ผู้ซึ่งได้ทำการสอบสวนคุณบูรฮานด้วยตัวเองที่จาการ์ตาในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 และเขายังประกาศว่าคุณบูรฮานได้ลงลายมือชื่อยืนยันในรายงานผลการสอบสวนในวันเดียวกันด้วย” ซึ่งนายบูรฮาน ยืนยันว่า “ผมไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”
จากบทสนทนาดังกล่าวเริ่มเรื่องมาจาก นางรสรสยา เธียรวรรณ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGE ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางถึง 5 คดี และถูกกล่าวหาต่อ ป.ป.ช.ว่าทุจริตในโครงการปลูกปาล์มอินโดนีเซีย 1 คดี ปัจจุบันอยู่ในระหว่างไต่สวน ได้นำถุงสินบนมาให้ นายบูลฮัน หรือ บูรฮาน เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 ก่อนที่ ป.ป.ช.จะเดินทางไปสอบเพียง 48 ชั่วโมง นั่นแสดงว่าความลับของทางราชการ การข่าวของป.ป.ช.รั่วไหล หรือว่า จงใจให้รั่วไหล ซึ่งนางสาวสุภาฯ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ควรได้รู้และเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับถุงสินบน เนื่องจากมีชื่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.นั่งเครื่องบินกลับลำเดียวกันกับนางรสยา เธียรวรรณ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ด้วยสายการบิน TG0434 ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นายบูรฮานผู้รับถุงสินบนได้ยอมรับว่ามีการให้สินบนจริงพร้อมพยานหลักฐานภาพถ่าย เมื่อจับได้คาหนังคาเขาแล้วนายนิพิฐฯ จึงยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมให้นางสาวสุภาสอบสวนเรื่องกรณีสินบนหลายครั้ง แต่นางสาวสุภาฯกลับละเว้นไม่สอบสวนตนเองและสอบสวนนางรสยาเกี่ยวกับเรื่องสินบนแต่อย่างใด
รวมถึงยังมีการให้ข่าวผ่านสำนักข่าวอิศราเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 เกี่ยวกับการสอบสวนวันที่ 7 สิงหาคม 2560 – วันที่ 8 สิงหาคม 2560 ว่านางสาวสุภาฯได้สอบสวนหรือสอบปากคำพยานนายบูรฮานในระหว่างวันที่ 7 – 8 สิงหาคม 2560 ด้วยตนเอง ระหว่างสอบปากคำพบนายบูรฮานเดินเข้าออกห้องเกือบตลอดเวลาเข้าใจว่าเพื่อปรึกษาทนายความและเมื่อสอบปากคำเสร็จได้ยอมลงนามแต่โดยดี ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงแต่อย่างใด
โดยสรุปจากพยานหลักฐานบทสนทนาผ่านวอตส์แอปป์ (WhatsApp) ได้ความจริงว่าในวันสอบสวนดังกล่าวนั้น นางสาวสุภาฯไม่ได้เข้าร่วมการสอบสวน ไม่มีการเดินเข้าๆออกๆห้องของนายบูรฮานซึ่งเขานั่งอยู่ในที่สอบสวนตลอดการสอบสวน นายบูรฮานไม่มีการติดต่อทนายความเลย ที่สำคัญที่สุดไม่มีการตกลงเซ็นเอกสารหรือลงนามในเอกสารใดๆทั้งสิ้นจากนายบูรฮานในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 หรือวันถัดมา
ทั้งหมดจึงเป็นการให้การโดยประจักษ์พยานชาวอินโดนีเซียซึ่งยอมรับว่าเป็นผู้รับถุงสินบนและประจักษ์พยานผู้เห็นถุงสินบนของนางรสยาในวันที่ 4 สิงหาคม 2560โดยพยานทั้ง 2 คนยินยอมให้นำพยานหลักฐานมาใช้ในชั้นศาลและจะมาเบิกความต่อศาลต่อไป