SSP ย้ำผลกำไรดี เน้น Core Profit พร้อมจ่ายเงินปันผล 0.205 บาทต่อหุ้น

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tnew.co.th

บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) ประกาศผลการดำเนินงานปี 2560 โดยมีกำไรจากการดำเนินการหลังปรับปรุง(Adjusted Operating Profit) ซึ่งเป็นกำไรหลักจากการดำเนินการและเป็นดัชนีที่ฝ่ายจัดการและคณะกรรมการใช้ชี้วัดผลการดำเนินการและพิจารณาจ่ายเงินปันผล เท่ากับ 472.1 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ประมาณ 3.1%

 

 

ทั้งนี้ SSP มีกำไรสุทธิสำหรับปี 2560 เท่ากับ 339.8 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 72.8 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2560 ที่แสดงกำไรสุทธิเท่ากับ 54.1 ล้านบาท และ ไตรมาส 4 ปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 62.7 ล้านบาท

 

 

คณะกรรมการของ SSP มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2561 (เพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ) ในอัตรา 0.2050 บาทต่อหุ้นหรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 189 ล้านบาท และคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ  40% ของกำไรจากการดำเนินการหลังปรับปรุง

 

 

            นาย วรุตม์ ธรรมวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SSP กล่าวว่า “สำหรับปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่ทาง SSP ยังคงมีโครงการที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเพียงโครงการเดียว คือ โครงการเสริมสร้างพลังงาน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 52 เมกกะวัตต์ ที่จังหวัดลพบุรี นั้น ผลประกอบการถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และเป็นไปตามกรอบที่ได้ให้ข้อมูลกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ก่อนหน้านี้โดยมีกำไรหลักจากการดำเนินการราว 450-500 ล้านบาท ซึ่งกำไรหลักจากการดำเนินการดังกล่าวก็เป็นดัชนีที่ทางคณะกรรมการใช้พิจารณาควบคู่ในการพิจารณาจ่ายเงินปันผล ตามที่คณะกรรมการได้มีมติในครั้งนี้ด้วย

 

 

ส่วนแนวโน้มสำหรับปี 2561 โดยแผนงานของบริษัทแล้ว เราจะมีโครงการที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในระหว่างปี 2561 นี้อยู่หลายโครงการ เช่น โครงการฮิดะกะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 21 เมกกะวัตต์ โครงการ SNNP1 และ SNNP2 ซึ่งเป็นโครงการ Solar Rooftop ในประเทศไทย กำลังการผลิตรวมประมาณ 1.4 เมกกะวัตต์ โครงการโซเอ็น ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ตลอดจนโครงการ Khunsight Kundi ในประเทศมองโกเลีย กำลังการผลิต 16.4 เมกกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ราวไตรมาส 1 ปี 2562 ดังนั้นถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน คาดว่า SSP จะมีรายได้ที่ทยอยเพิ่มขึ้นจากการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการเหล่านี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า”