หรือมันถึงเวลา "สงครามโลกครั้งที่ 3" จะเริ่มต้นขึ้น เมื่อเหตุและปัจจัยทุกอย่างเกื้อหนุน

จากสถานการณ์โลกที่กำลังเกิดเหตุวุ่นวาย ในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นความร้อนระอุของคาบสมุทรเกาหลี ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธข้ามทวีปของทางด้านคิมจอง อึน โดยไม่สนใจคำคัดค้านจากนานาประเทศ  และนำไปสู่การกดดันจากสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดสงครามน้ำลายระหว่างทางด้านผู้นำสหรัฐฯ อย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับทางด้านผู้นำเกาหลีเหนือ อย่างคิม จอง อึน 

 

 

นอกจากนั้นแล้วความขัดแย้งในพื้นที่ตะวันออกกลาง ที่กลับมาระอุในหลายจุดไม่ว่าจะเป็นการสู้รบระหว่างกลุ่มกบฏ กับรัฐบาลซีเรีย การเปิดฉากสงครามปฏิบัติการช่อมะกอก ของกองทัพตุรกี กับทางด้านกลุ่มติดอาวุธเคิร์ด วายพีจี หรือแม้แต่สงครามตัวแทนในประเทศเยเมนเองก็ยังคงสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง 

 

ขณะที่สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ก็ดูเหมือนว่าระอุมากขึ้นเช่นกัน เมื่อสหรัฐฯได้ดึงพันธมิตรอย่างออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย จัดตั้งองค์กร ขึ้นมาเพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของจีนในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ก็สร้างความไม่พอใจให้กับจีนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นแล้วยังมีอังกฤษ ที่เข้าร่วมผสมโรงด้วยอีกประเทศ  

 

ในขณะที่อินเดียเองก็มีปัญหากับจีน เรื่องพรมแดนอยู่แล้วก่อนหน้า ก็ยิ่งสร้างความบาดหมางกับจีนชัดเจนขึ้น ส่วนญี่ปุ่นก็มีปัญหาข้อพิพาททางทะเลกับจีน อยู่แล้วเช่นกัน ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับจีนอีกระดับหนึ่ง ดังนั้น จากเหตุและปัจจัยข้างต้น ก็ทำให้เรื่องของการพัฒนาอาวุธต่าง ๆ รวมถึงตลาดซื้อขาย อาวุธในปีที่ผ่านมานั้นคึกคักอย่างยิ่ง 

 

สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มเผยแพร่รายงานที่ว่า สงครามและความขัดแย้งในตะวันออกกลางและเอเชีย ส่งผลให้ยอดนำเข้าอาวุธสงครามเติบโตขึ้นอย่างมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยระหว่างปี 2556 ถึง 2560 ประเทศแถบเอเชียและโอเชียเนียนำเข้ายุทโธปกรณ์มากที่สุดในโลก นับเป็นสัดส่วน 42% ของการนำเข้ายุทโธปกรณ์ทั่วโลก รองลงมาคือ ภูมิภาคตะวันออกกลางที่นำเข้ายุทโธปกรณ์สูงขึ้นเกิน 100% ซึ่งนับเป็นสัดส่วนนำเข้ายุทโธปกรณ์ 32% ของโลก

 

ในขณะที่ทางด้านอินเดียเป็นประเทศที่นำเข้าอาวุธมากที่สุด โดยมีรัสเซียเป็นคู่ค้าหลักถึง 62% ขณะที่อินเดียนำเข้าอาวุธจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า มากที่สุดในรอบ 5 ปี

 

 

ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่นำเข้าอาวุธมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีสหรัฐฯเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่สุดให้ซาอุดิอาระเบีย โดยมีอังกฤษเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อังกฤษเพิ่งลงนามสัญญาส่งมอบระบบเทคโนโลยีทางทหารและเครื่องบินรบอีก 48 ลำให้ซาอุดีอาระเบีย

ส่วนข้อมูลการส่งออกนั้น ทางด้านสหรัฐฯยังคงรั้งตำแหน่งประเทศที่มีการส่งออกอาวุธมากที่สุดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยได้ส่งออกอาวุธในสัดส่วน 34% ของยอดส่งออกอาวุธทั้งหมดทั่วโลกโดยทางด้านออเด เฟลอแรนท์ ผู้อำนวยการโครงการวิจัยด้านการใช้จ่ายทางอาวุธและการทหารของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยอดส่งออกอาวุธของสหรัฐฯ ในช่วงปี 2556-2560 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1990 จากข้อตกลงที่มีการลงนามตั้งแต่สมัยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีอารัก โอบามา โดยข้อตกลงเหล่านั้นได้นำไปสู่การลงนามในข้อตกลงเพิ่มเติมในปี 2560 ซึ่งทำให้สหรัฐฯ สามารถรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกไว้ได้ในปีต่อๆมา

 

สหรัฐฯ ส่งออกอาวุธมากกว่ารัสเซียถึง 58% ในช่วงปี 2556-2560 ซึ่งทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีการส่งออกอาวุธมากเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯในช่วงเวลาดังกล่าว และว่า  ในช่วงปี 2556-2560 สหรัฐฯขายอาวุธให้กับประเทศต่างๆอย่างน้อย 98 ประเทศทั่วโลก โดยสินค้าที่มีการส่งออกไปมากที่สุดก็คือเครื่องบินขนส่งและเครื่องบินรบ

 

ในขณะที่ทางด้านจีน ซึ่งปกติแล้วจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจนั้นก็น่าจับตามองอย่างยิ่ง ได้กระโดดจากผู้ส่งออกอาวุธ อันดับที่ 5 ของโลก ในปี 2559 ขึ้นมาเป็นผู้ส่งออก อันดับที่ 3 ของโลกในปี 2560 ซึ่ง นั้นหมายความว่า จีนเองปัจจุบันนี้ ก็มีเทคโนโลยี ทางด้านอาวุธมีระยะห่างจากสหรัฐฯ และ รัสเซีย ไม่มากนัก 

 

 

ท่านผู้อ่านทุกท่านลองคิดดูว่า เวลานี้หากเกิดสงครามใหญ่ขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อทุกประเทศต่างเร่งสั่งสมอาวุธที่มีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงเอาไว้ในคลังแสงของตัวเองกันเป็นว่าเล่น หรือว่ามันถึงเวลาแล้วสำหรับ "สงครามโลกครั้งที่ 3"

 

บทความโดย : สถาพร เกื้อสกุล