"เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่แค่วาทะกรรม แต่เป็นศาสตร์ที่ปราชญ์ทั่วโลกให้ความเคารพเชื่อถือ"ผู้รู้ยันหน้า"ไพร่ธนาธร"หลังคำพูดอวดรู้ในอดีตถูกขุดอีกหน

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ดูเหมือนการก่อเกิด "พรรคอนาคตใหม่" ของ “ไพร่หมื่นล้าน - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่แตะมือกับ "อดีตอาจารย์นิติราษฎร์" อย่าง "นายปิยะบุตร แสงกนกกุล โดยชูประเด็นคนรุ่นใหม่...อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มุ่งมั่นเชิดชูและเทิดทูนคุณค่าประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความเสมอภาค และอีกหลายถ้อยความที่ล้วนเป็น "ยูโทเปีย" จะนำมาซึ่งการขุดคุ้ยหลายต่อหลายเรื่องที่เขาเคยพูดไว้ในอดีต ล่าสุด ก็ถูกผู้รู้ฟัดแบบจมเขี้ยว "ปมการหนุนศาสนากับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้" ที่เขาเคยพูดไว้แบบไม่เข้าใจแก่นปัญหาอันซับซ้อนของ 3 จังหวัดใต้ใด ๆ สักนิด

อ่าน “ดร.เวทิน” สอนมวย “ไพร่หมื่นล้าน” โชว์หล่อวิสัยทัศน์ ปัญหาชายแดนใต้ ด้วยความไม่รู้(จริง) ของ“ธนาธร” ตัวอันตราย!

 

 

ล่าสุดของล่าสุด ก็ถูกชาวเน็ตขุดคุ้ยบทสัมภาษณ์ "นิตยสาร สารคดี" ฉบับเดือนมกราคม 2550 ออกมาตั้งข้อสังเกตอีก โดยสารคดีตั้งชื่อบทสัมภาษณ์ในครั้งนั้นว่า "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผมถูกบังคับให้เป็นนายทุน” ซึ่งบทสัมภาษณวันนั้นส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ที่เขาเข้ามาคุมบังเหียน ไทยซัมมิตฯ แทนพ่อ

แต่ช่วงหนึ่งของการพูดคุย ธนาธรตอบคำถามเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" หลังถูกสารคดีถามว่า "ถ้านิยามว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือการพึ่งตนเองได้ และสร้างภูมิคุ้มกันในธุรกิจของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เพิ่มการลงทุน"

 

โดยเขาให้คำตอบต่อคำถามนี้ในวันนั้นว่า "ผมคิดว่ามีนักวิชาการคนหนึ่ง คือคุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พูดไว้ชัด คือทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง หรือแม้แต่กระแสชุมชนนิยม มันมีรากฐานอย่างหนึ่งคือ ข้างในมันดี และข้างนอกมันเลว อะไรก็ตามที่มันเลวมันมาจากข้างนอกหมด เราอยู่ข้างในเราก็ดีกันอยู่แล้ว โดยที่เราลืมไปอย่างหนึ่งว่า มันเป็นเพียงมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นมา เวลาเราพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง พูดถึงชุมชนนิยม หรือแม้แต่ในประเทศไทย เราบอกว่าเราไม่เปิดเสรีเพราะเรารู้สึกว่าอะไรก็ตามที่มาจากข้างนอกมันสร้างกิเลส มันสร้างความโลภ มันเอาอะไรต่างๆ ที่ไม่ดีในเชิงจริยธรรมในเชิงศีลธรรมเข้ามา แล้วเราก็พยายามปลูกฝังความคิดแบบชาตินิยมขึ้นมา แท้จริงแล้วการชูเรื่องชาตินิยมก็เพียงเพราะคุณต้องการปกป้องทุนชาติ เพราะคุณรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาคุณเสียประโยชน์ เพราะคุณแข่งขันสู้บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้ไม่ได้ ถามว่าเศรษฐกิจพอเพียง คุณปิดประเทศหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ปิดประเทศ บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้เข้ามา ผมถามว่าคุณแข่งขันสู้เขาได้หรือเปล่า ดูธุรกิจใหญ่ๆ ของไทย วันนี้เหลือธุรกิจอะไรบ้างที่ยังเป็นของคนไทย ที่ยังเป็นของทุนชาติอยู่ ผมรู้สึกว่าเหลือไม่เยอะ

ถ้าถามผมเป็นนายทุนผมชอบไหม ชาตินิยม ชูเลยใช้ของไทย คุณผลิตรถยนต์คุณต้องซื้อของจากบริษัทคนไทย ผมแฮปปี้ แต่ถามว่าท้ายที่สุดใครล่ะได้กำไร ทุนชาติและทุนต่างชาติก็ได้กำไรเหมือนกัน การสะสมทุนก็กระจุกตัวอยู่แค่กลุ่มคนระดับสูงบางกลุ่มเหมือนกัน ถามว่าแล้วทุนชาติกับทุนต่างชาติต่างกันอย่างไร ไม่ต่างกัน เพียงแต่เรามีมายาคติ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นวาทกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง"

อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้น หลังเรื่องดังกล่าวถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกหน เรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากกรณี  "ปมศาสนากับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้" ที่มันเปลื้องเปลือยความเบาหวิวขององค์ความรู้ของเขาต่อประเด็นสาธารณะ...ที่ตนเองกลับดันอาสาเข้ามาทำงานการเมือง...เอาไว้แบบน่าเป็นห่วง เพราะนั่นเท่ากับมันสะท้อนว่า...เอาเข้าจริง...ที่ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ อ่านหนังสือมาเยอะ (บทสัมภาษณ์บางแห่งกล่าวถึงธนาธรเช่นนี้) มันก็เป็นแค่เพียง "วาทกรรม" เช่นกัน เพราะคำพูดก็ยืนยันว่า เขาไม่ได้เข้าใจแก่นของปัญหา...หรือรากของปรัชญาแต่อย่างใดเลย เพราะคำกล่าวที่ว่า "ท้ายที่สุดเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นวาทกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง" ของเขานั้น...สะท้อนเรื่องนี้อย่างหมดจรด

และล่าสุดต่อกรณีนี้ เพจเฟซบุ๊กรายหนึ่ง (ขออภัยที่ต้องสงวนวนาม) ได้ออกมาอธิบายถึงความเข้าใจผิดของธนาธรต่อกรณีนี้แบบใครก็มิอาจโต้แย้ง โดยรายละเอียดที่เฟซบุ๊กท่านนั้น ระบุไว้อย่างน่าสนใจ คือ

.....ที่ผ่านมาเมื่อครั้งที่เห็นโฆษณาของรัฐบาลในยุคเมื่อสักสิบปีก่อน เป็นผลงานพีอาร์ ที่เรียกได้ว่า เป็นความเสร่อแบบสุดๆ ของหน่วยงานราชการในยุครัฐบาลนั้น ที่ตีความหมายของคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง ออกมาเป็นการ์ตูนแบ่งที่นาเป็นสี่ส่วน แล้วทำนาส่วนนึง ปลูกผักส่วนนึง เลี้ยงปลาส่วนนึง เลี้ยงไก่ส่วนนึง ผมก็ตั้งคำถามในใจว่า ในหลวงท่านคิดเพียงแค่นั้นเหรอ ทำไมถึงได้นำเสนอออกมาเพียงแค่ภาคการเกษตรล่ะ

.....จนกระทั่งวันหนึ่งที่พระองค์ท่าน ได้ทรงตรัสกับคณะรัฐมนตรี และได้อธิบายเพิ่มเติมว่าคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึงอะไร ก็ทำเอานายกเบือนหน้า และรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ถึงกลับต้องก้มหน้า ยอมรับในความรู้น้อยของตน ที่นำเสนออย่างนั้น

....เราก็อยากรู้ต่อ การที่ผมได้มีโอกาสได้เจอข้าราชการที่เคยตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งตัวเองยังเข้าร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะสอบถามเพื่อความกระจ่าง

.....ถือเป็นความโชคดีของผม ที่ได้รับความกระจ่างเกี่ยวกับ "เศรษฐกิจ พอเพียง" ในแง่ที่เรียกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว จากหลายๆคน ที่ได้ให้ความกรุณาอธิบาย

....ทุกๆ ท่านให้คำตอบที่คล้ายๆ กัน นั่นคือ พระองท่านนิยาม คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นเพียงแนวทาง ให้แก่ทุกอาชีพ ทุกคน ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว นั่นคือสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกคน โดยจุดเริ่มต้นของนิยามนี้ คือพอ นั่นคือ พอประมาณ พอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินฐานะ จากสิ่งที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง

....และที่สำคัญ เมื่อผ่าน คำว่าพอแล้ว ก็มาต่อที่การ "ออม"

....ประเด็นนี้ในแง่ เศรษฐกิจ นี่คือสิ่งสำคัญ

.....ถามว่าชีวิตพนักงานประจำ วันนึงอยากจะมีรถสักคัน บ้านสักหลัง แต่ถ้าตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยมีเงินเหลือเก็บเลย ถามว่า แบงค์จะอนุมัติไหม

....อยากเป็นเจ้าของกิจการ ถ้าไม่มีเงินเก็บจะมีทุนตั้งต้นไหม ถ้าไม่ไปขอพ่อขอแม่มา

....ลงทุนทำธุรกิจ ลงหมดเลยไม่เหลือเงินหมุนเวียน โอกาสเสี่ยงมีสูงไหม

....ดังนั้นการออมคือจุดเริ่มต้นของการเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจโดยมวลรวม เพราะเมื่อออมจนพร้อมก็จะลงทุนในสิ่งคิดไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนให้กับความมั่นคงในชีวิต หรือลงทุนในธุรกิจ เพื่อต่อยอดในอนาคต

....ถึงบอกว่า นิยาม คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" นี่สามารถขับเคลื่อนเศรษกิจ ระดับรากหญ้า และชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นประชากรหมู่มากของประเทศ ได้เป็นอย่างดีึ ไม่ได้เกี่ยวข้อง อะไรกับการเปิดหรือปิดประเทศ หรือทุนนิยม อะไรๆ อย่างที่ ใครบางคนยกตัวอย่างในการให้สัมภาษณ์ กับสื่ออย่างมึนๆ แล้วพูดแบบไม่รู้ว่า เป็นเพียงแค่ วาธะกรรม
....ผมไม่ถือสากับคนที่ไม่เคยแม้จะใส่ใจว่าพระองค์ท่านทรงงาน และดำรัส ดำริสิ่งต่างๆ มาตลอดรัชสมัยนั้น พระองค์ท่านทรงทำเพื่อใคร ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาด้วยความไม่รู้ ถึงคุณค่าและความหมายที่แท้จริงของคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง

....แต่อดสมเพชไม่ได้ที่ปัจจุบัน เขาอาสามาเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะออกมาทำงานสร้างอนาคต แต่หากไม่รู้จักการออม อนาคตคนรุ่นใหม่เหล่านี้เป็นอย่างไร ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายเกินตัว ถ้าไม่รู้จักคำว่า"พอ" รวมกันแล้วหนี้ภาคประชาชน ต่อหัว จะเพิ่มอีกเท่าไหร่ เอ็นพีแอล จะเพิ่มอีกเท่าไหร่ เงินเฟ้อจะเป็นอีกเท่าไหร่ กำลังซื้อหายไปจะแก้อย่างไร จะสร้างอนาคต กู้เงินซื้อบ้าน ลงทุนในธุรกิจอย่างไร ในเมื่อเขาไม่ใช่นามสกุล จึงรุ่งเรืองกิจ

....ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ ไม่ว่าอะไร แต่เมื่อไม่เข้าใจแม้เพียงกระพี้ อย่าอวดรู้และวิจารณ์ในสิ่งที่ตนไม่เคยแม้แต่จะสนใจ แล้วยิ่งอาสาเป็นตัวแทนประชาชนในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ด้วยแล้ว ยิ่งควรแสดงวิสัยทัศน์มากกว่า เที่ยวโชว์ว่าตัวเองไม่รู้อะไรต่อสาธารณะ ถ้าตัวแทนประชาชนคนรุ่นใหม่กลายเป็นคนที่ไม่รู้ อะไรจริงๆ ในสิ่งที่ตัวเองพูดต่อสาธารณะ ไอ้คนที่คิดจะเลือกนี่ถามจริงๆ เชียร์เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม ว่าสิ่งที่เขาพูดนี่เอ็งก็ไม่รู้

....จึงขอถือโอกาสนี้สอนเด็กรุ่นใหม่ให้เข้าใจเสียใหม่นะว่า เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เป็นเพียงวาทะกรรม แต่เป็นศาสตร์ ที่เกิดจากความคิดของ ปราชญ์ ที่ทั้งโลกให้ความเคารพและเชื่อถือในแนวคิดนี้

 

"เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่แค่วาทะกรรม แต่เป็นศาสตร์ที่ปราชญ์ทั่วโลกให้ความเคารพเชื่อถือ"ผู้รู้ยันหน้า"ไพร่ธนาธร"หลังคำพูดอวดรู้ในอดีตถูกขุดอีกหน

 

ขอบคุณข้อเขียน : ข้อเขียนเฟซบุ๊กรายหนึ่ง (ขอสงวนวนาม)