ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

สาเหตุของการต้องตั้งนโม : หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เดือน ๓ ข้างขึ้น หลังจากออกพรรษาแล้ว

เป็นระยะเวลาที่ท่านอาญาครูดี พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

และพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน ได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

ต่อมาได้ปวารณาตนขอเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

สาเหตุที่พบกันมีอยู่ว่า ระยะเวลาดังกล่าวพระอาจารย์มั่น

พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอีกหลายรูปได้เที่ยวธุดงค์ไปพักที่วัดป่าภูไทสามัคคี

บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

ญาติโยมทั้งหลายในบ้านม่วงไข่ได้พากันไปนมัสการ

และขอฟังพระธรรมเทศนาของท่าน สำหรับพระภิกษุที่ไปร่วมฟังด้วยในคราวนั้น

ก็มีท่านอาญาครูดี พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กู่

พระอาจารย์มั่นได้แสดงพระธรรมเทศนาเบื้องต้นในเรื่องการให้ทาน

รักษาศีล และการบำเพ็ญภาวนา ตามขั้นภูมิของผู้ฟัง

ว่าการให้ทานและการรักษาศีลภาวนานั้น

ถ้าจะให้เกิดผลานิสงส์มากจะต้องละจากความคิดเห็นที่ผิดให้เป็นถูกเสียก่อน

ท่านยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวชาวบ้านมากที่สุดขึ้นอ้างว่า

ชาวบ้านม่วงไข่นั้นส่วนใหญ่นับถือภูตผีปีศาจ ตลอดจนเทวดาและนางไม้เป็นสรณะ

ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้เหตุผล ท่านได้แสดงข้อเท็จจริงขึ้นหักล้างหลายประการ

และได้แสดงพระธรรมเทศนาอันลึกซึ้ง จนกระทั่งชาวบ้านเห็นจริง

ละจากมิจฉาทิฏฐิ เลิกนับถือภูตผีปีศาจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

โยมคนหนึ่งคือ อาชญาขุนพิจารณ์ (บุญมาก) สุวรรณรงค์

ผู้ช่วยสมุห์บัญชี อำเภอพรรณานิคม ซึ่งเป็นบุตรชายของ

พระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคม คนที่ ๔

และเป็นนายอำเภอพรรณานิคมคนแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕

ได้กราบเรียนถามพระอาจารย์มั่นว่า

เหตุใดการให้ทานหรือการรับศีลจึงต้องตั้ง “นโม” ก่อนทุกครั้ง

จะกล่าวคำถวายทานและรับศีลเลยทีเดียวไม่ได้หรือ

พระอาจารย์มั่นได้แสดงธรรมเรื่องนโมอย่างลึกซึ้งให้ฟัง

เป็นเพราะแบบนี้..นี่เอง!! สาเหตุของการต้องตั้งนโม "หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต"ท่านอาจารย์ใหญ่ไขข้อข้องใจ..อย่างชัดแจ้ง.

“เหตุใดหนอ นักปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี

หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จะยกขึ้นพิจารณา

ได้ความปรากฏว่า น คือธาตุน้ำ โม คือธาตุดิน

พร้อมกับบทพระคาถาขึ้นมาว่า

มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย

สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกันจึงเป็นตัวตนขึ้นมา

เมื่อคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว ก็ได้รับข้าวสุกและขนมกุมมาส

เป็นเครื่องเลี้ยงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาได้

น เป็นธาตุของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา

ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป

ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า “กลละ”

คือน้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง

ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้

จิตจึงได้ปฏิสนธิในธาตุ “นโม” นั้น

เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว “กลละ” ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ”

คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือเป็นแท่ง

และ เปสี คือชั้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน

จึงเป็น ปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑

ส่วนธาตุ “พ” คือลม “ธ” คือไฟนั้น

เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว

กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี

คนตายลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย

ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นดั้งเดิม

ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย “น” มารดา “โม” บิดา

เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นต้น

ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง

ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า “ปุพพาจารย์” เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น

มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้

มรดกที่ท่านทำให้ กล่าวคือ รูปกายนี้แลเป็นมรดกดั้งเดิม

ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง

ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย

เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น “มูลมรดก” ของมารดาบิดาทั้งสิ้น

จึงว่าคุณของท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่

เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง

นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่

มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตน

ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ

เป็นเพราะแบบนี้..นี่เอง!! สาเหตุของการต้องตั้งนโม "หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต"ท่านอาจารย์ใหญ่ไขข้อข้องใจ..อย่างชัดแจ้ง.

เป็นเพราะแบบนี้..นี่เอง!! สาเหตุของการต้องตั้งนโม "หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต"ท่านอาจารย์ใหญ่ไขข้อข้องใจ..อย่างชัดแจ้ง.

นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน

ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้คือ เอาสระอะ จากตัว “น” มาใส่ตัว “ม”

เอาสระโอ จากตัว “ม” มาใส่ตัว “น”

แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจ

เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้

มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่

จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา

ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ

พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย

ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือมหาฐานนี้ทั้งสิ้น

เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก นโม แจ่มแจ้งแล้ว

มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น

สมบัติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากนโมทั้งสิ้น

ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้

ถือเอาเป็นสมบัติ บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะ

จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า

ด้วยการหลงถือว่าตัวเป็นเราเป็นของเราไปหมด”

เป็นเพราะแบบนี้..นี่เอง!! สาเหตุของการต้องตั้งนโม "หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต"ท่านอาจารย์ใหญ่ไขข้อข้องใจ..อย่างชัดแจ้ง.

เป็นเพราะแบบนี้..นี่เอง!! สาเหตุของการต้องตั้งนโม "หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต"ท่านอาจารย์ใหญ่ไขข้อข้องใจ..อย่างชัดแจ้ง.