- 21 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
สาเหตุของการต้องตั้งนโม : หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เดือน ๓ ข้างขึ้น หลังจากออกพรรษาแล้ว
เป็นระยะเวลาที่ท่านอาญาครูดี พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
และพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน ได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
ต่อมาได้ปวารณาตนขอเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สาเหตุที่พบกันมีอยู่ว่า ระยะเวลาดังกล่าวพระอาจารย์มั่น
พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอีกหลายรูปได้เที่ยวธุดงค์ไปพักที่วัดป่าภูไทสามัคคี
บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
ญาติโยมทั้งหลายในบ้านม่วงไข่ได้พากันไปนมัสการ
และขอฟังพระธรรมเทศนาของท่าน สำหรับพระภิกษุที่ไปร่วมฟังด้วยในคราวนั้น
ก็มีท่านอาญาครูดี พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กู่
พระอาจารย์มั่นได้แสดงพระธรรมเทศนาเบื้องต้นในเรื่องการให้ทาน
รักษาศีล และการบำเพ็ญภาวนา ตามขั้นภูมิของผู้ฟัง
ว่าการให้ทานและการรักษาศีลภาวนานั้น
ถ้าจะให้เกิดผลานิสงส์มากจะต้องละจากความคิดเห็นที่ผิดให้เป็นถูกเสียก่อน
ท่านยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวชาวบ้านมากที่สุดขึ้นอ้างว่า
ชาวบ้านม่วงไข่นั้นส่วนใหญ่นับถือภูตผีปีศาจ ตลอดจนเทวดาและนางไม้เป็นสรณะ
ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้เหตุผล ท่านได้แสดงข้อเท็จจริงขึ้นหักล้างหลายประการ
และได้แสดงพระธรรมเทศนาอันลึกซึ้ง จนกระทั่งชาวบ้านเห็นจริง
ละจากมิจฉาทิฏฐิ เลิกนับถือภูตผีปีศาจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โยมคนหนึ่งคือ อาชญาขุนพิจารณ์ (บุญมาก) สุวรรณรงค์
ผู้ช่วยสมุห์บัญชี อำเภอพรรณานิคม ซึ่งเป็นบุตรชายของ
พระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคม คนที่ ๔
และเป็นนายอำเภอพรรณานิคมคนแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕
ได้กราบเรียนถามพระอาจารย์มั่นว่า
เหตุใดการให้ทานหรือการรับศีลจึงต้องตั้ง “นโม” ก่อนทุกครั้ง
จะกล่าวคำถวายทานและรับศีลเลยทีเดียวไม่ได้หรือ
พระอาจารย์มั่นได้แสดงธรรมเรื่องนโมอย่างลึกซึ้งให้ฟัง
“เหตุใดหนอ นักปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี
หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จะยกขึ้นพิจารณา
ได้ความปรากฏว่า น คือธาตุน้ำ โม คือธาตุดิน
พร้อมกับบทพระคาถาขึ้นมาว่า
มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย
สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกันจึงเป็นตัวตนขึ้นมา
เมื่อคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว ก็ได้รับข้าวสุกและขนมกุมมาส
เป็นเครื่องเลี้ยงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาได้
น เป็นธาตุของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา
ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป
ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า “กลละ”
คือน้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง
ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้
จิตจึงได้ปฏิสนธิในธาตุ “นโม” นั้น
เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว “กลละ” ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ”
คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือเป็นแท่ง
และ เปสี คือชั้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน
จึงเป็น ปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑
ส่วนธาตุ “พ” คือลม “ธ” คือไฟนั้น
เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว
กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี
คนตายลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย
ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นดั้งเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย “น” มารดา “โม” บิดา
เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นต้น
ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง
ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า “ปุพพาจารย์” เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น
มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้
มรดกที่ท่านทำให้ กล่าวคือ รูปกายนี้แลเป็นมรดกดั้งเดิม
ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง
ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย
เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น “มูลมรดก” ของมารดาบิดาทั้งสิ้น
จึงว่าคุณของท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่
เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง
นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่
มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตน
ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ
นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน
ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้คือ เอาสระอะ จากตัว “น” มาใส่ตัว “ม”
เอาสระโอ จากตัว “ม” มาใส่ตัว “น”
แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจ
เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้
มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่
จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือมหาฐานนี้ทั้งสิ้น
เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก นโม แจ่มแจ้งแล้ว
มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น
สมบัติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากนโมทั้งสิ้น
ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้
ถือเอาเป็นสมบัติ บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะ
จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า
ด้วยการหลงถือว่าตัวเป็นเราเป็นของเราไปหมด”