- 23 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณีวัดศรีชุม ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกเงิน 50 ล้านบาท พร้อมทวงคืนที่ดินบริเวณที่ตั้งมณฑป “พระอจนะ” ตำนานพระพุทธรูปพูดได้ ซึ่งเป็นมรดกโลก จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (จำเลยที่ 1) , สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย (จำเลยที่ 2) และกรมศิลปากร (จำเลยที่ 3) พร้อมให้ชี้แจงการเก็บค่าเข้าชมโบราณสถานวัดศรีชุม และให้งดเก็บค่าเข้าสักการะพระอจนะ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น
ล่าสุดมีหนังสือจากนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร มาถึงเจ้าอาวาสวัดศรีชุม พระครูสังฆรักษ์เกรียงไกร สุภาทโร แจ้งขอให้รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต ออกจากเขตโบราณสถานภายใน 60 วัน ได้แก่ วิหารหลวงพ่อเพชร กุฏิเจ้าอาวาส ห้องน้ำ เมรุเผาศพ ศาลาพักสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ศาลาปู่ฤาษี และอื่นๆรวม 16 รายการ ซึ่งเจ้าอาวาสกล่าวว่าจะ ทำหนังสืออุทธรณ์ พร้อมชี้แจงว่าเป็นการแก้ปัญหา มาตั้งแต่ปี 2557 และจริงๆแล้วการฟ้องเป็นเรื่องปลายเหตุ อีกทั้งไม่ได้มีเจตนาจะฮุบพระอจนะและโบราณสถานวัดศรีชุมอย่างที่มีการกล่าวกัน เพราะพระอจนะเป็นศาสนสถานที่ถูกสร้างขึ้นมาจากศรัทราของพุทธศาสนิกชน เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนก็เป็นสมบัติของชาติด้วย แต่สิทธิและความชอบธรรมถูกเพิกเฉยมานานในเรื่องของที่ดิน ที่กรมศิลป์ฯเข้ามาบริหารโดยขาดการเคารพกฎพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และควรเข้ามาทำผาติกรรม ให้เรียบร้อยหากต้องการมาทำผลประโยชน์ในที่ของวัด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องสะสมมาตั้งแต่ปี 2518 จนมาถึงปัจจุบัน ที่พระครูสังฆรักษ์เกรียงไกร สุภาทโร มาคลี่คลายในครั้งนี้ เพื่อให้บ้านวัด ชุมชน อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก และไม่ได้หวังผลประโยชน์ โดยเป็นเพียงผู้แทนที่กระทำภายใต้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เท่านั้น
และจากการซักถามทราบว่าพระครูสังฆรักษ์เกรียงไกร สุภาทโร ได้มา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในปี 2557 เพื่อหาทางให้เกิดความชัดเจนเรื่องที่ดินได้ประสานสอบถามไปยังกรมศิลปากร มาโดยตลอด แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้ อีกสองปีต่อมาก็ได้ยื่นเรื่องทำรังวัดขอโฉนดที่ชัดเจน ซึ่งทางกรมศิลปากรก็รับทราบ และส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจสิ่งปลูกสร้างของวัดตั้งแต่ปี 2559 จากนั้นก็มีการปิดสะพาน และสร้างรั้วเหล็กปิดกั้นการเชื่อมทางไปยังมณฑปพระอจะนะ ไม่อนุญาตให้ใช้สะพานไม้ข้ามไปยังมณฑปพระอจะนะ ด้วยการล๊อคกุญแจ ทางวัดได้ขอให้เปิดสะพานเพื่อให้พุทธศาสนิกชน และพระ ได้รับความสะดวกในการทำวัด สวดมนต์ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ก็ไม่ได้รับความชัดเจนมาตั้งแต่ 2558 ถึงปัจจุบัน อยู่กันอย่างคลุมเครือมาตลอด จึงได้ยื่นฟ้องเพื่อทำหน้าที่เจ้าอาวาสในการดูแลศาสนสมบัติของวัด ซึ่งไม่ได้อยากจะมีปัญหาหรือให้เกิดเรื่องบานปลาย แต่การแก้ไขต้องชอบด้วยกฎหมายและสุดท้ายขอให้เป็นอำนาจศาลในการวินิจฉัย โดยคำสั่งรื้อสิ่งก่อสร้างในวัดนั้นไม่ใช่ครั้งแรก เคยมีคำสั่งรื้อศาลาการเปรียญมาแล้ว และได้สร้างขึ้นใหม่โดยได้รับการอนุญาตจาก นายนิคม มูสิกะคามะ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และก็ถูกสั่งรื้ออีกครั้งในยุคท่านอธิบดีกรมศิลปากรคนปัจจุบัน คือนายอนันต์ ชูโชติ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ไม่เกิดความชัดเจน ในส่วนของการกล่าวอ้างในจดหมายราชการด้วยการใช้คำว่าสำนักสงฆ์นั้นถือว่ายังขาดการทำความเข้าใจ ขอให้ไปดูหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรเล่ม 7 ของกองพุทธศาสนสถาน กรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ หน้าที่ 595-596 ที่ระบุว่าเป็นวัดที่ได้รับวิสุงคามสีมา ตามทะเบียนระบุ พ.ศ.1900 ซึ่งเรื่องนี้ทางเจ้าอาวาสได้แนะนำว่าควรจะไปถามสำนักพระพุทธศาสนา กรมการศาสนา หรือเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง
ทางด้านร.อ.บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กล่าวว่าเรื่องนี้ทางกรมศิลปากรกำลังดูแลอยู่ และการแจ้งให้รื้อถอนนั้นทางวัดสามารถขออุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน พร้อมแจ้งเหตุผล ของทางวัดมาที่กรมศิลปากร ซึ่งเรื่องคดีความนั้นอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ โดยวัดกับมณฑปในอยู่กันคนละส่วนมานาน และไม่น่าจะเกิดปัญหามาแต่แรก
ภาพ/ข่าว ศรีสุดา ชัยวงศ์ศรีอรุณ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จังหวัดสุโขทัย