โหดเหี้ยมเกินมนุษย์! ลวงฆ่ากิ๊ก ออทิสติก ฆ่าหมกศพ ทิ้งบ่อขยะอำเภอลอง หวังขยะถมกลบอำพลางศพ (คลิป)

เมื่อวันที่  23  มีนาคม  2671  เวลา  08.30 น. ร.ต.อ.ภานุพันธ์ วุฒิจูรีพันธุ์ พงส.สภ.สรอย ได้รับแจ้งจากนางติ๋ว รอดโพบิน  บ้านเลขที่ 86 ม.  1 ต. ป่าสัก อ.วังชิ้น จ.แพร่  (เป็นพี่สะใภ้)แจ้งความว่านางสาวประกาย หรือแลป อายุ 32  ปี บ้านเลขที่ 41 ม.  1 ต.ป่าสัก อ.วังชิ้น ซึ่งห่างจากโรงพักสร่อย ประมาณ  200 เมตร  ได้หายตัวไป

นางติ๋ว รอดโพบิน เล่าว่า  เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ประมาณ 7.00 น. ตนได้ไปหา นส.ประกาย ที่บ้านพักดังกล่าวแล้ว เห็นไฟฟ้าเปิดสว่างอยู่ น้ำก็เปิดทิ้งไว้จนล้นหม้อโอ่งน้ำ และเห็นรองเท้าวางอยู่หน้าบ้านหนึ่งคู่ จึงได้ตะโกนเรียกหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบ คิดว่าคงเกิดเรื่องไม่ดี จึงได้เปิดประตูเข้าไปดูข้างใน เห็นโทรศัพท์วางไว้ที่โต๊ะแต่ไม่มีคนอยู่ ตนจึงคิดว่านางสาวประกายคงออกไปเที่ยว หรือถูกลักพาตัวไปทำร้าย จึงได้สอบถามเพื่อบ้านพร้อมออกติดตามหาทั้งวันก็ไม่พบ ซึ่งปกติ น.ส. ประกายจะออกมายืนอยู่รั่วหน้าบ้าน และจะทักทายประจำ แต่วันดังกล่าว ไม่มีใครเห็นผิดสังเกต จึงได้มาร้องทุกกับพนักงานสอบสวนให้ช่วยติดตามหาคนหายให้ด้วย

 

 

 

 

ต่อมา เมื่อพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องร้องทุกข์ไว้ จึงได้แจ้ง พ.ต.ท.นิพล จันต๊ะวงค์ สารวัตร สภ.สรอยรับทราบ และได้เรียบชุดสืบสวนนำโดย ร.ต.อ.ประชัน ปิงจัน หัวหน้าชุดสืบสวน ร.ต.อ.สมเกียรติ แก้วกามูล ร้อยเวร ลงพื้นที่สืบหาข้อมูลและติดตาม ต่อมา ทางผู้แจ้งและญาติ ผู้เสียหายได้สงสัย สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง คือ นายธีระพงษ์  ธิน่าน อายุ  30 ปี และนางสาว เครือ ตะนะ อายุ  38 ปี อาศัยบ้านเลขที่ 104 ม. 6   ต.ป่าสัก อ.วังชิ้น  จะมีส่วนเกี่ยวข้อง และสงสัยมากที่สุดที่จะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ   พ.ต.ท. นิพล จันต๊ะวงศ์  จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวน และสายตรวจให้ไปเชิญตัวสองสามีภรรยา มาสอบสวนที่ สภ.สรอย เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก็ไม่มีอาการ ท่าทางส่อแววหรือเกรงกลัวตกใจให้เห็นแต่อย่างใด สีหน้าเรียบเฉยจึงได้แยกสอบปากคำคนละห้อง เบื้องต้นสองสามีภรรยาได้ให้การปฎิเสธ ว่าไม่รู้ไม่เห็นการหายตัวของนางสาวประกาย ปวนสายแต่อย่างใด แต่ทั้งสองก็มีพิรุธ คือให้การไม่ตรงกันหลายประเด็น จึงได้เรียก นายสานิตย์ นันทสุวรรณ กำนัน ต.ป่าสัก และราษฎร์บ้านใกล้เคียงมาสอบปากคำเพิ่มเติม จนมาถึงเวลา  15.40 น. ทั้งสองให้การับสารภาพเป็นคนล่อลวง นางสาวประกาย ออกจากบ้านไปฆ่า โดยการบีบคอ จับกดน้ำ และนำไปเผาไฟแต่ไม่ไหม้ จึงนำไปทิ้งในบ่อขยะที่อำเอลอง

 

 

 

 

สำหรับพฤติการณ์แห่งคดีก่อนเกิดเหตุ โดยก่อนหน้านั้น นายสมพงษ์ ได้มาติดพันและมีความสัมพันธุ์ลึกซื้งกับน.ส.ประกาย  เป็นประจำ ซึ่งตัว น.ส. ประกายนั้นเป็นโรคประจำตัวออทิสติกด้วย จน น.ส. เดือน ภรรยาจับได้และขอให้นายธีระพงษ์ (สามีนอกทะเบียนสมรส) ให้เลิกพฤติกรรมเสีย จากนั้นอีกไม่นานทั้งสองได้กลับมาคบกันอีก น.ส. ประกายผู้ตาย ก็ได้ไปขโมย กางเกงในพร้อมรองเท้าของนายธีระพงษ์ ไป น.ส.เดือน ภรรยา จึงได้แจ้งให้นายสานิตย์ นันทสุวรรณ กำนันตำบลป่าสัก ได้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทธทั้งสามคมได้มีการตกลงไม่ติดใจเอาความกัน และได้บันทึกไว้ที่ทำการกำนันไว้ และต่อมาอีกไม่นาน บุคคลทั้งสองก็มาก่อเหตุขึ้น โดยนายธีรพงษ์ที่น่านเป็นคนมาหาและล่อลวงนางสาวประกาย (ผู้ตาย) สอนรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปถึงลำห้วยแม่ตื๊ดหมู่ที่ 5 ตำบลแม่พุงอำเภอวังชิ้นเพื่อตกลงกันและอยากให้ผู้ตายยุติปัญหาไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับตนแต่ไม่สามารถตกลงกันได้จึงบีบคอน.ส.ประกาย และกดหัวลงน้ำ หลายครั้ง จนแน่นิ่งคิดว่าเสียชีวิตแล้วจึงได้ไปรับนางสาวเครือ ภรรยามาช่วยนำร่างของนางสาวประกายตอนนั้นร่างของนางประกายยังอ่อนอยู่จึงได้พยุงร่างขึ้นรถจักรยานมุ่งหน้าไปที่อำเภอลอง ผ่านไปทางวังชิ้นนำศพไป ไปทิ้งที่บ่อขยะบ้านทุ่งป่าดำตำบลห้วยอ้ออำเภอลองจังหวัดแพร่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 50 กิโลเมตรโดยไม่มีใครเห็นและสังเกตเพราะเอาศพไว้นั่งตรงกลาง โดยมีนายธีระพงษ์ที่น่านเป็นผู้ขับขี่นางสาวเครือเป็นผู้ซ้อนท้ายเมื่อไปถึงบ่อขยะก็ได้เผาศพ แต่ไม่ไหม้ทั้งสองจึงเปลี่ยนใจหากระสอบในบ่อขยะมาปิด หัว  ปิดเท้าแล้วใช้เชือกฟางมัดศพโยนทิ้งในบ่อขยะ แล้วเอาฟาง กลบ อำพราง ศพไว้ หวังว่าจะให้ รถมาไทยกบทำลายหลักฐาน แต่บังเอิญว่า เวรมาตามสนองเสียก่อนทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้เวลาในการสอบสวนและสืบหาตัวค้นร้ายใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงจึงสามารถตามหาศพพบ ทางด้านแพทย์ลงความเห็นว่า ถูก บีบรัดที่ลำคอจนขาดอากาศหายใจ โดยสันนิฐานว่า เสียชีวิตมาประมาณ  24 ชม. เพราะศพแข็งกระด้าง มีกลิ่นเหม็น เพราะอากาศร้อน  ทางเจ้าหน้าทีตำรวจจึงได้นำตัวนาย  ธีระพงษ์ ธิน่าน และ นางสาวเครือ ตะนะ นำตัวไปทำแผน ณ จุดเกิดเหตุ และนำตัวฝากขังศาลจังหวัดแพร่ โดยข้อหา  ร่วมกันฆ่าผู้อื่น  ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย

 

 

 

 

 

 

 

ภาพ/ข่าว กัญญสร ถิ่นทิพย์ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จังหวัดแพร่