ทางออกนอกตำรา : Trade World War ไม่ต้องรอ มันมากระแทกแน่

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

หลายคนอาจบอกว่า ปฏิบัติการของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามใน presidential memorandum มีคำสั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) พิจารณาเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 2.5% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 11.4% ของการนำเข้าจากจีนในปี 2560 มิใช่สงครามการค้า Trade World War แต่เป็นมาตรการกีกันทางการค้าและดูสินค้าในประเทศตามกติกาโลก แต่ผมว่า นี่คือสงครามการค้าโลกชัดๆ

 

ทางออกนอกตำรา : Trade World War ไม่ต้องรอ มันมากระแทกแน่

 

แม้เหตุผลที่สหรัฐฯ ยกมากีดกันทางการค้าคือ ทางการจีนได้มีพฤติกรรมและมีนโยบายที่ก่อให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ให้กับจีน และก่อให้เกิดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จึงต้องใช้มาตรา 301 จัดการ แต่นี่คือการใช้มาตรการภาษีมาเป็นสงครามการค้าของโลก เพราะตอนนี้โลกใบเดียวกันเชื่อมต่อกันหมด


สินค้าเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ กระทบทันทีเมื่อมีการนำคำสั่งไปปฏิบัติ


ว่ากันว่า สินค้ากลุ่มดังกล่าวเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าให้กับจีนมากที่สุดราว 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


กลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯขาดดุลสูงอันดับสอง ได้แก่ เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น ฯลฯ

แน่นอนว่า สินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯและจีน ก็จะได้รับผลกระทบหากมีการเก็บภาษีสินค้าจากจีน โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีน เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิต และจีนได้ส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ


จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า สินค้าส่งออกไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว และมีความเสี่ยงจะถูกเก็บภาษี ชนิดที่บรรดาผู้ประกอบการ นักลงทุน และคนไทยพึงตระหนัก ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า, กล้องถ่ายรูป, LCD, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, CPU ที่มีสัดส่วนรวม 23% ของการส่งออกจากไทยไปจีนทั้งหมด เพราะจีนนำสินค้าส่งออกของไทยไปประกอบและใช้ส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ

 

ทางออกนอกตำรา : Trade World War ไม่ต้องรอ มันมากระแทกแน่


นอกจากนี้ยังมี กลุ่มพลาสติกขั้นพื้นฐานที่ไทยส่งออกไปจีนอีก10% ที่จีนใช้ผลิตของเล่นและผลิตภัณฑ์พลาสติกส่งไปตีตลาดสหรัฐฯ


แม้การนำนโยบายไปปฏิบัติของสหรัฐฯ จะอยู่ในห้วงการเตรียมการ แต่อย่าลืมว่า “ทรัมป์” นั้นเป็นผู้บริหารที่ยึด “ผลสัมฤทธิ์ของงาน” เป็นตัวตั้ง ใครทำไม่ได้ หรือไม่เห็นพ้อง ทรัมป์ทำให้โลกเห็นแล้วว่า “ถูกเชือด-เปลี่ยนตัวหมด”


ในเบื้องต้น ทางการจีนออกมาตอบโต้ เล็งเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ กว่า 128 รายการ มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น ท่อเหล็ก ผลไม้ และไวน์ 15% เนื้อหมูและอลูมิเนียมรีไซเคิลอัตรา 25%

 

ทางออกนอกตำรา : Trade World War ไม่ต้องรอ มันมากระแทกแน่

 

จีนยังแสดงท่าทีเป็นนัยๆ ว่าจะตัดลดการนำเข้าถั่วเหลืองสหรัฐฯ ปีละ12,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 อันว่าถ่วเหลืองนั้นถือเป็นรายการสินค้าส่งออกของสหรัฐฯไปยังจีน เป็นอันดับ 2 รองจากเครื่องบินพาณิชย์ ที่ว่ากันว่า เครื่องบินที่โบอิ้งผลิต 10 ลำ จะมีจีนซื้อสูงถึง 4 ลำ


ดังนั้น ไทยจะต้องรับมือกับเหตุการณ์นี้ให้ดี โลกทะเลาะกัน ไทยอาจมีประสบการณ์ยืนอยู่ในดุลอำนาจมาอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย

อย่าดูเบาว่า นี่เป็นเพียงการขู่ และการตอบโต้กันทางการเมืองของยักษ์ใหญ่โลก ยามที่พญามังกรตบตีกับพญาอินทรี หญ้าแพรกอย่างไทยยืนอยู่ตรงกลางพอดีเป๊ะ ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไรรับประกันว่าหญ้าแพรกแหลกรานแน่ๆ ขอบอก


ผมเห็นว่า พาณิชย์ควรสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปทำการตรวจสอบ และจัดทำข้อวิเคราห์ผลดี ผลเสีย แนวทางการแก้ไข เป็น “วอร์รูม” ให้กับรัฐบาลตัดสินใจอย่างจริงจัง และจะได้ดำเนินการอย่างทันท่วงที

ผมทราบมาว่า ขณะนี้ทางสถานฑูตไทยและฑูตพาณิชย์จัดทำสินค้าที่อาจโดนลูกหลงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ-จีนไว้แล้วพบว่า มีสินค้าที่อยู่ในข่ายจะกระทบสูงจากการใช้พิกัดภาษีมาควบคุม 1,300-1,500 รายการ


ผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าที่กำลังก่อตัวเป็นสงครามการค้านั้น ไทยโดนไปเต็ม ๆ แน่


อย่าลืมว่า ไทยส่งออกไปจีนประมาณ 11-12% ส่งสินค้าออกไปสหรัฐอเมริกา 10%


2 ประเทศยักษ์ใหญ่นี้ ไทยทำมาค้าขายหาเงินเข้าประเทศรวมกันกว่า 21 % ของรายได้เดือนละ 19,500-20,365 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าไปแล้ว

 

ทางออกนอกตำรา : Trade World War ไม่ต้องรอ มันมากระแทกแน่


ถ้าเราเพียงแค่รอฟ้อง WTO เหมือนลูกแหง่ รับรองประเทศเราจนลงทันตาเห็น

เพราะอะไรนะหรือครับ เพราะว่าไทยมีรายได้จากการค้าโลกมาหล่อเลี้ยงคน 70 ล้านคน ไทยกลายเป็นประเทศหลักในระบบการค้าโลกโดยที่เรามองไม่เห็นมาอย่างยาวนาน

มอร์ริน ลินซ์  และแบงก์ ออฟ อเมริกา ประเมินว่า ในระบบห่วงโซ่เศรษฐกิจทั้งด้านการส่งออกและนำเข้ากับจีน สินค้าไทยติดอันดับ 6 รองจาก ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์  ไทยมีห่วงโซ่การผลิตของการส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ นำไปประกอบในการผลิตอื่นๆอีก 14-15%


นี่ผมไม่นำเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดเงิน เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ทำให้เกิด “น้ำมันหล่อลื่น” ในระบบเศรษฐกิจนะครับ


ข้าราชการ รัฐมนตรีจ๋า โปรดอย่ายืนนิ่ง ต้องวิ่งให้หนักครับ


การบอกว่าเราต้องหาตลาดใหม่มารองรับ ผมว่าไม่ใช่ง่าย และไม่สามารถชดเชยตตลาดหลักได้ดอกครับพี่น้อง...

 

คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา / หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /  ฉบับ 3352 ระหว่างวันที่ 29 -31 มี.ค.2561

ขอบคุณที่มา : ฐานเศรษฐกิจ