"คนที่กล้าโกหก ไม่ทำชั่วที่ยิ่งกว่าเป็นไม่มี"?"หลวงปู่ฯ"เปลือยซ้ำโกงเงินวัด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ"เจ้าคุณป้องลูกน้อง-สั่งยังไงปฏิเสธไว้ก่อน"

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

"คนที่กล้าจะโกหก จักไม่ทำชั่วอย่างอื่นที่ยิ่งกว่าเป็นไม่มี" เป็นบทความที่ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เปลือยซ้ำคดีโกงเงินทอนวัด ที่ความฉ้อฉลเกี่ยวโยงไปถึงพระผู้ใหญ่ "ระดับท่านเจ้าคุณ" ที่เป็นกรรมการมหาเถรฯ ซึ่งปกครองคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรถึง 3 รูป (จากที่ฟ้องล็อต 3 ไป 5 รูป)

 

เหนืออื่นใดก็คือ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าปมฉ้อฉล "ในที่ที่ไม่ควรเกิดเช่นกรณีโกงเงินทอนวัดนี้"...มีการออกมาแฉกันเองของฝ่ายนั้น หลัง "เจ้าคุณเบอร์ลิน" ออกมาสารภาพเรื่องนี้กับ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ด้วยตนเองว่า

“ขณะที่ผมนั่งอยู่กับพระผู้ใหญ่ ท่านหนึ่ง มีพระท่านหนึ่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระผู้ใหญ่ท่านนั้น ที่มีชื่อเข้าไปพัวพันกับการทุจริตเงินทอนวัด

พระรูปนั้นมาปรึกษาพระผู้ใหญ่ ว่าควรทำอย่างไรดี

พระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพระรูปนั้นตอบว่า

ให้ปฏิเสธเอาไว้ก่อน”
 
คำสารภาพข้างต้น ทำให้ "หลวงปู่ฯ" ถึงกับระบุว่า "นักบวชทุมมังกุเหล่านั้น ไม่มีความละอาย ถึงขนาดแนะนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโกหก เพื่อเอาตัวรอด ไม่ต้องพูดเรื่องศีล ข้อมุสาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสุจริตธรรม ไม่ต้องพูดหิริ ความละอายยิ่ง โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำว่า เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย เหตุเพราะคนพวกนี้ ไม่รู้จักพระธรรมวินัย ไม่เคยใช้พระธรรมวินัย"

 

ดังรายละเอียดทั้งหมดที่ หลวงปู่ฯ โพสต์ไว้ คือ

"คนที่กล้าจะโกหก จักไม่ทำชั่วอย่างอื่นที่ยิ่งกว่าเป็นไม่มี"

๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑

“ขณะที่ผมนั่งอยู่กับพระผู้ใหญ่ ท่านหนึ่ง มีพระท่านหนึ่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระผู้ใหญ่ท่านนั้น ที่มีชื่อเข้าไปพัวพันกับการทุจริตเงินทอนวัด

พระรูปนั้นมาปรึกษาพระผู้ใหญ่ ว่าควรทำอย่างไรดี

พระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพระรูปนั้นตอบว่า

ให้ปฏิเสธเอาไว้ก่อน”

นี่คือคำพูดของ เจ้าคุณเบอร์ลิน ที่นำมาบอกกล่าวแก่พุทธะอิสระ

รวมความว่า นักบวชทุมมังกุ ผู้เก้อยาก ไม่ละอาย ถึงขนาดแนะนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโกหก เพื่อเอาตัวรอด เรียกว่างานนี้ไม่ต้องพูดเรื่องศีล ข้อมุสาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสุจริตธรรม ไม่ต้องพูดหิริ ความละอายยิ่ง โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำว่า เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย

เหตุเพราะคนพวกนี้ ไม่รู้จักพระธรรมวินัย ไม่เคยใช้พระธรรมวินัย

โลกมันเปลี่ยนไปหรือไงไม่ทราบ นักบวชในพระธรรมวินัยนี้จึงหันไปพึ่งพาอาศัยกฎหมายทางโลก ที่เปิดช่องเอาไว้ว่า ให้เชื่อเอาไว้ก่อนว่า ผู้ถูกกล่าวหาบริสุทธิ์

ทั้งที่ตามหลักพระธรรมวินัยแล้ว พระบรมศาสดาทรงบัญญัติให้หมู่สงฆ์ช่วยกันกำจัด สิ่งที่เป็นมลทินของพระธรรมวินัย ดุจดังคลื่นลมในมหาสมุทร ที่ทำการซัดสาดขยะสิ่งสกปรก ปฏิกูลขึ้นฝั่งเสมอ เมื่อมีผู้ทิ้งขยะเหล่านั้นลงไป

แต่นักบวชสมัยนี้กลับทำตัวเป็นสำลีหรือฟองน้ำ ที่ทำการดูดซับเอาสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นเอาไว้จนบวมเบ่ง แล้วก็ช่วยกันปกปิด

เรียกว่า ไม่ใช่ปกปิดแต่เฉพาะลำพังตน ยังรวมหัวกันปกปิดความเน่าเหม็นของกันและกันอย่างไม่ละอาย

หรือนี่มันถึงยุคที่ผ้าเหลืองน้อยห้อยหูเสียแล้ว

คำว่า ผ้าเหลืองน้อยห้อยหู ในที่นี้หมายถึง มีแค่ผ้าเหลืองเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของพระธรรมวินัย แต่ผู้ที่นุ่งห่มผ้าเหลือง หาได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยไม่

พุทธะอิสระ

 

"คนที่กล้าโกหก ไม่ทำชั่วที่ยิ่งกว่าเป็นไม่มี"?"หลวงปู่ฯ"เปลือยซ้ำโกงเงินวัด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ"เจ้าคุณป้องลูกน้อง-สั่งยังไงปฏิเสธไว้ก่อน"