ขึงพืด"วัฒนา"น่าสมเพช? อ้างเอื้ออาทรขายหมด-ไม่มีความเสียหาย นั่นสะท้อนอะไรหากไม่ใช่โป้ปด เพราะคดีนี้ผิดที่เรียกหัวคิว-ไม่ใช่ขายบ้านได้ไม่ได้

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ขึงพืด"วัฒนา" ช่างเป็นนักประชาธิปไตยที่น่าสมเพชอะไรเช่นนั้น หลังอ้างเอื้ออาทรขายหมด-ไม่มีความเสียหายอะไร แถมราคาขึ้นจาก 3 แสนเป็น 7 แสนนั่นสะท้อนอะไรหากไม่ใช่จงใจโป้ปด เพราะวิญญูชนย่อมรู้ดีว่า คดีนี้ผิดที่พวกเขาเรียกรับหัวคิด ไม่ใช่ขายบ้านได้หรือไม่...นั่นคนละเรื่องกัน...อย่ามั่ว

 

ดูเหมือน "มหากาพย์โกงบ้านเอื้ออาทร" จะรัดคอ "นายวัฒนา เมืองสุข" อดีต ส.ส พรรคเพื่อไทย-คนของนายใหญ่ทักษิณอย่างหนักหน่วงทีเดียว เพราะฐานความผิดที่อัยการยื่นฟ้องตัวเขา และเป็นข่าวใหญ่ทางการเมืองเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น โทษหนักถึงประหารนั่นเลย

 

โดยในคำฟ้อง ระบุว่า นายวัฒนา อดีต รมว.พม. ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 83, 91


ขณะที่้ผู้ถูกกล่าวหาอีก 18 ราย ก็ถูกฟ้องในฐานความผิดใกล้เคียงกัน อาจแตกต่างกันไปบ้างตามข้อปลีกย่อยกฎหมายอาญา และอย่างที่บอกแค่มาตรา 148 ก็โทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตแล้ว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนายวัฒนาจะพยายามบิดเบือน และลากพาคดีดังกล่าวไปในมุมที่เขาต้องการ นั่นสะท้อนชัดอยู่ในวันที่เขาไปพบอัยการ ก่อนถูกนำตัวส่งฟ้องศาลฯ นักการเมืองในวันเดียวกันนั้นว่า ตนไม่เคยเชื่อกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นมาตั้งนานแล้ว ส่วนที่กล่าวหาว่าออกทีโออาร์เอื้อประโยชน์หรือไม่ เขาอ้างว่า ถ้าเอื้อประโยชน์แล้วคนทำไม่ผิดได้อย่างไร โครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นโครงการที่ขายหมด ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ บ้านที่ประชาชนได้ไปหลังละกว่า 3 แสนบาท ปัจจุบันขึ้นเป็น 7-8 แสนบาทแล้ว ประชาชนมีความต้องการ แต่เป็นเรื่องการเมืองที่ต้องทำลาย เพื่อรับรองการยึดอำนาจ ฯลฯ

“ในชั้นศาลคงจะแสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติของการดำเนินคดีตั้งแต่ในชั้นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็มีการจูงใจข่มขู่พยาน มันเป็นความไม่ปกติ อย่างที่สองก็คือกระบวนการตั้งข้อกล่าวหาอย่างกระบวนการที่พยายามจะเอาเรา อ้างว่าทำสิ่งนี้ผิด อ้างว่าผมสั่งให้ออกทีโออาร์ที่ผิด แล้วคนที่ทำมันไม่ผิด แล้วผมจะไปผิดได้ยังไง ถ้าสิ่งที่ผมทำผิด คนที่รับไปปฏิบัติก็ต้องผิดด้วยถูกไหม แล้วทำไมทั้งหมดเหลือผมอยู่คนเดียว ปล่อยทุกคนหมด ถ้ามันไม่เป็นเรื่องทางการเมืองแล้วเป็นเรื่องของอะไร ก็แค่นั้นเอง ฯลฯ ” นายวัฒนา อ้าง

หากพิจารณาและแกะจากคำพูดนายวัฒนาข้างต้น...จะพบว่า...เขาต้องการลากพาคดีไปในมุมที่ตัวเองต้องการแบบไม่ต้องอำพรางใด ๆ เลย..เพราะนายวัฒนาระบุชัดทุกถ้อยคำว่า  "โครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นโครงการที่ขายหมด ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ บ้านที่ประชาชนได้ไปหลังละกว่า 3 แสนบาท ปัจจุบันขึ้นเป็น 7-8 แสนบาทแล้ว ประชาชนมีความต้องการ"

นั่นเองเป็นเหตุให้...ผู้รู้หลายคนรู้สึกสมเพชนายวัฒนาขึ้นมาในทันที เพราะยิ่งโบ้ยยิ่งสะท้อนความโป้ปดมดเท็จของเขา...ผู้ที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย...อ้างประชาชนทุกคำ เพราะใครก็รู้ว่า...คดีนี้ อัยการฟ้องเขาในฐานะเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้ผู้อื่นมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง...ไม่ใช่...ก่อสร้างโครงการแล้ว..."ขายไม่ออก" กลายเป็นโครงการที่ "ไม่ก่อให้เกิดรายได้" ดังที่นายวัฒนาต้องการให้เป็น

...แต่ไม่ว่า...นายวัฒนาจะจงใจที่จะกล่าวเช่นนี้ หรือพูดไปตามที่ทนายสั่ง (ทั้งที่ตัวเขาเองก็เป็นนักกฎหมายอยู่ด้วย) นั่นก็เปลื้องเปลือยตัวเขาอย่างล่อนจ้อนเช่นกัน...เพราะหากจงใจที่จะกล่าวนั่นย่อมแสดงว่า...เขาจงใจที่จะบิดเบือนคดีให้สาวกแดงที่ยังหนุนหลังเขา...เข้าใจผิดไขว้เขวเกี่ยวกับคดีโกงบ้านเอื้ออาทรจากข้อเท็จจริงไปไกล...ซึ่งปลายทางของเรื่องนี้ก็ย่อมไม่พ้น...หวังผลทางการเมืองแน่...เพราะมันเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเขาเอง

ขณะที่หาก....หากพูดไปตามที่ทนายสั่ง...นั่นย่อมหมายถึงความอับปางของชีวิตในเบื้องหน้าแน่...เพราะคำฟ้องของอัยการก็ปรากฏอยู่ทนโท่...กลับตีความ "สาระสำคัญของคดี" ผิดไปไกลขนาดนั้น...คุกคงรออยู่ไม่ไกล

ขณะบางคนไปไกลกว่านั้น...ฟันโชะไปเลยว่า....ที่กล้าพูดแบบนั้น...เพราะที่แท้....นิสัยของนักการเมืองนั้น....ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ เพราะพูดได้ทุกเรื่องเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์...และอาจหนักถึงขั้นไม่เชื่อคำพูดตัวเองก็ยังมี...ดีไม่ดีนายวัฒนาอาจอยู่ในข่ายนี้ด้วยซ้ำ แม้จนถึงขณะนี้ตัวเขาจะยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบเท่าที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา และอาจต้องสู้คดีนี้อีกยาวนานก็ตามที