นรกรออยู่ไม่ไกลแน่ท่าน? มัวหมอง-คาวโลกีย์สุดขีด"อิศรา"เผยเจ้าคุณโกงเงินวัดปลอมตัวเป็น"เฮีย"เสพสังวาสหมอนวดยามค่ำ แถมเงินซื้อกามเป็นเงินในคดี

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

นรกรออยู่ไม่ไกล...แน่ท่าน?! มัวหมอง-คาวโลกีย์กว่าที่คิดไว้เยอะ "สำนักข่าวอิศรา" แฉเบื้องลึก "เจ้าคุณเอี่ยวโกงเงินวัด" ปลอมตัวเป็น "เฮีย" สวมชุดซาฟารี ออกซื้อกามเสพสังวาสกับหมอนวดยามค่ำ มีการให้เงินส่งเสียเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราว แถมเงินที่ใช้ปรนเปรอความสุขตนเองเป็นเงินในคดีเงินทอนวัดเสียอีก...กรณีที่ไม่ว่างไปหากัน...มีกระทั่ง "เซ็กส์โฟน" ผ่านทางโทรศัพท์ในกุฏิด้วยซ้ำ

 

 

โดย "สำนักข่าวอิศรา" เผยแพร่ข่าวชิ้นนี้ เมื่อวานนี้ (วันศุกร์ ที่ 25 พฤษภาคม 2561) เวลา 22:27 น. ในหัวข้อข่าว "มั่วสีกา-เสพเมถุน? เบื้องลึกกองปราบฯ บุกจับสึกฟ้าแลบ อดีตพระผู้ใหญ่ พันคดีทุจริตเงินทอนวัด" โดยมีรายละเอียดทั้งหมด คือ

"...ชุดสืบสวนได้เชิญตัวสีการายนี้ มาสอบปากคำพร้อมกับบันทึกคำให้การเป็นหลักฐานแล้ว โดยสีการายนี้ ให้การว่าเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ประกอบอาชีพเป็นหมอนวดแผนโบราณในสถานบริการแห่งหนึ่ง ต่อมามีพนักงานในสถานบริการนวดแผนโบราณแนะนำให้รู้จักกับอดีตพระผู้ใหญ่คนดังกล่าว แต่ตอนนั้นสีการายนี้ ไม่ทราบว่า ผู้ชายที่มาติดพันตนเองเป็นพระ เนื่องจากสวมชุดซาฟารีมาหาที่สถานบริการและสวมหมวกแก๊ป และเรียกแทนตัวเองว่า “เฮีย” ก่อนที่จะเข้าห้องไปนวดกันหลายครั้งต่อเนื่องหลายวันในช่วงกลางคืน และขอมีเพศสัมพันธ์ในสถานบริการเพื่อแลกกับเงิน 30,000 บาท..."

การเข้าไปพัวพันคดีทุจริตเงินทอนวัด อันนำไปสู่การตั้งข้อกล่าวหา และนำพาไปสู่ปฏิบัติฟ้าแลบจับกุม-จับสึก อดีตพระเถระผู้ใหญ่หลายรูป ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เมื่อวันที่ 24 พ.ค.2561 ที่ผ่านมา  นอกเหนือจากข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต ที่ยังมีการตั้งข้อสงสัยในขั้นตอนการดำเนินการของพนักงานสอบสวน เพราะยังไม่มีการส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ไต่สวนก่อน แต่ไปยื่นคำร้องต่อศาลให้ออกหมายจับเลย ว่าจะมีผลต่อกระบวนการขั้นตอนการตรวจสอบการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเจ้าพนักงานของรัฐ ของ ป.ป.ช. หรือไม่ ? (อ่านประกอบ : กาง กม.ไฉน ตร.ขอศาลอนุมัติหมายจับพระผู้ใหญ่คดีเงินทอนวัดไม่ผ่าน ป.ป.ช.?)

 

 

ยังมีข้อมูลสำคัญหลายชุด ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นทางการมาก่อน  โดยเฉพาะพฤติการณ์การประพฤติตนที่ไม่เหมาะสม มั่วสีกา ของอดีตพระผู้ใหญ่บางรูป ที่ถูกตรวจสอบพบผ่านข้อมูลเส้นทางการเงินในคดีทุจริตเงินทอนวัด ปรากฎหลักฐานยืนยันจากคำให้การของสีการายหนึ่ง ที่เจ้าตัวยอบรับกับพนักงานสอบสวนว่า แอบมีความสัมพันธ์กับอดีตพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง แบบฉันชู้สาว มีการให้เงินส่งเสียเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราว ขณะที่เงินที่นำมาส่งเสีย ก็เป็นเงินที่ถูกยักยอกมาจากเงินในคดีทุจริตเงินทอนวัดนั้นเอง

 

 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวพิเศษสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ประจำกองปราบปราม ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในชุดสืบสวนคดีเงินทอนวัด ว่า ก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นปฏิบัติการจับกุมอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปตามที่ปรากฎเป็นข่าวดังล่าสุด  โดยปัจจุบัน พระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยาและเจ้าคณะกรุงเทพฯ ถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วนอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่  2 ราย ที่ยังหลบหนี คือ พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์

 

 

มีการสืบสวนพบว่า อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง มีพฤติกรรมเสพเมถุนและเข้าข่ายประพฤติตนไม่เหมาะต่อการเป็นสมณะเพศ โดยมีการยักยอกถ่ายเทเงินที่มาจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปยังโยมผู้หญิง หลังแกะรอยเบาะแสพบว่า อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่รายนี้  มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับสตรีมากกว่าญาติโยมเพศชาย

 

 

แหล่งข่าวในชุดสืบสวนคดีเงินทอนวัด ยืนยันว่า จากการสืบสวนคดีทุจริตเงินทอนวัด อดีตพระผู้ใหญ่รายหนึ่ง ที่ถูกออกหมายจับครั้งนี้ พบว่านอกจากจะมีพฤติการณ์ส่อทุจริตเงินทอนวัดแล้ว ยังมีพฤติกรรมเสพเมถุนเข้าข่ายอาบัติปาราชิกด้วย เนื่องจากการสืบสวนพบว่าอดีตพระผู้ใหญ่รายนี้ มีความใกล้ชิดกับสีกาคนหนึ่งปัจจุบันอายุประมาณ 50 ปี

 

 

เบื้องต้น ชุดสืบสวนได้เชิญตัวสีการายนี้ มาสอบปากคำพร้อมกับบันทึกคำให้การเป็นหลักฐานแล้ว โดยสีการายนี้ ให้การว่าเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ประกอบอาชีพเป็นหมอนวดแผนโบราณในสถานบริการแห่งหนึ่ง ต่อมามีพนักงานในสถานบริการนวดแผนโบราณแนะนำให้รู้จักกับอดีตพระผู้ใหญ่คนดังกล่าว

 

แต่ตอนนั้นสีการายนี้ ไม่ทราบว่า ผู้ชายที่มาติดพันตนเองเป็นพระ เนื่องจากสวมชุดซาฟารีมาหาที่สถานบริการและสวมหมวกแก๊ป และเรียกแทนตัวเองว่า “เฮีย”

 

ก่อนที่จะเข้าห้องไปนวดกันหลายครั้งต่อเนื่องหลายวันในช่วงกลางคืน และขอมีเพศสัมพันธ์ในสถานบริการเพื่อแลกกับเงิน 30,000 บาท ซึ่งสีการายนี้ ก็ยินยอมเพราะครอบครัวมีปัญหา เนื่องจากถูกสามีทิ้งและลูกชายที่เลี้ยงดูอยู่ก็เป็นเด็กพิการ โดยหลังการเพศสัมพันธ์กันแต่ละครั้ง อดีตพระผู้ใหญ่รายนี้ จะจ่ายเงินตอบแทนให้ครั้งละ 20,000-30,000 บาท

 

 

อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังสีกาคนนี้เริ่มสงสัยในพฤติกรรมของ “เฮีย” เพราะการมาพบกันแต่ละครั้งชายคนนี้เหมือนจะหลบๆซ่อนๆ และพยายามจะเลียบเคียงบอกความจริงอะไรบ้างอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่งอดีตพระผู้ใหญ่รายนี้ ก็ยินยอมบอกความจริงกับสีการายนี้ ว่า แท้จริงแล้วตัวเองเป็นพระสงฆ์แต่แอบออกจากวัดมา

 

 

แหล่งข่าวในชุดสืบสวนคดีเงินทอนวัด ยืนยันว่า สีการายนี้ ให้การด้วยว่าตอนนั้นรู้สึกตกใจมาก แต่อดีตพระผู้ใหญ่คนนี้ เสนอเงินเดือนให้แลกกับการไม่ต้องทำอาชีพหมอนวด โดยจ่ายเบื้องต้นให้เดือนละ 30,000 บาทและมีค่าใช้จ่ายอื่นๆให้อีก นอกจากนี้ยังได้ส่งให้ไปเรียนเสริมสวยและเปิดร้านเสริมสวยให้ด้วย เบื้องต้น ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ไปยังโรงเรียนเสริมสวยที่สีการายนี้ อ้างถึงก็พบว่ามีชื่อเคยเรียนอยู่จริงตรงกับคำให้การทุกประการ

 

และมีรายงานว่า ระหว่างให้การสีการายนี้ ได้ร้องไห้ตลอดเวลา พร้อมระบุว่า หลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนเสริมสวยแล้วอดีตพระผู้ใหญ่คนนี้ ให้ลูกศิษย์ชายคนสนิทพาไปพบในกุฏิภายในวัด โดยก่อนเข้าจะดูลาดเลาในช่วงที่ไม่มีใครเห็นหลายครั้งทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน โดยในแต่ละวันที่เข้าไปพบอดีตพระผู้ใหญ่คนนี้จะให้บีบนวดให้ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กันภายในวัด โดยยอมรับว่ารู้สึกละอายใจอย่างมากที่ต้องทำเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกว่าหลวมตัวไปแล้วและรู้สึกชอบพอกับพระผู้ใหญ่คนดังกล่าว

 

 

นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินเลี้ยงดูลูกพิการอีกด้วย จึงจำยอมเพื่อแลกกับเงิน แม้ว่าบางครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กันนั้นทางวัดจะจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น เดินจงกลม หรือนั่งสมาธิ อยู่ก็ตาม และในบางวันที่ไม่มีโอกาสเข้าไปหา อดีตพระคนดังกล่าวก็จะโทรศัพท์มาหาและพูดจาชักชวนให้เล่น “เซ็กซ์โฟน” อีกด้วย ซึ่งตนก็ยินยอมทำตาม

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง อดีตพระผู้ใหญ่คนนี้ ได้พยายามตีตัวออกห่างไม่ให้เข้าพบและหลบหน้า ก่อนที่ตนจะมาสืบรู้ว่าหลังว่า อดีตพระผู้ใหญ่ที่ตนหลงรักไปแล้ว ไปมีหญิงอื่นและยังมีผู้หญิงอีกหลายคนด้วยแต่ก็ยังติดต่อกันบ้างตามโอกาส

 

แหล่งข่าวในชุดสืบสวนคดีเงินทอนวัด ยังยืนยันด้วยว่า  นอกจากอดีตพระผู้ใหญ่รูปนี้แล้ว อดีตพระผู้ใหญ่หลายรายที่ถูกออกหมายจับในครั้งนี้ด้วย ก็มีความสนิทสนมกับสีกามากเกินความจำเป็นและบางครั้งเต็มไปด้วยพิรุธ

 

อย่างเช่นอดีตพระรูปหนึ่ง นอกจากจะมีการถ่ายเทเงินให้กับสีกาแล้วยังมีการเดินทางไปต่างประเทศด้วยกันปีละกว่า 10 ครั้ง แต่ละครั้งแม้ว่าจะมีบุคคลอื่นติดตามไปด้วย ซึ่งเมื่อไปตรวจสอบที่นั่งโดยสารย้อนหลังก็พบว่านั่งเคียงข้างกันเสมอ นอกจากนี้ยังมีการเข้าพบหากันสองต่อสองในยามวิกาบอีกด้วย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระโดยเฉพาะอดีตพระผู้ใหญ่ระดับที่เป็นผู้บริหารวัด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง อดีตพระผู้ใหญ่คนนี้ ได้พยายามตีตัวออกห่างไม่ให้เข้าพบและหลบหน้า ก่อนที่ตนจะมาสืบรู้ว่าหลังว่า อดีตพระผู้ใหญ่ที่ตนหลงรักไปแล้ว ไปมีหญิงอื่นและยังมีผู้หญิงอีกหลายคนด้วย แต่ก็ยังติดต่อกันบ้างตามโอกาส


ในขณะที่อดีตพระผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่ง ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน มีการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันกับสีการายหนึง  และยังเข้าพบหากันในตอนกลางคืนหรืออยู่ด้วยกันสองต่อสองเสมอ ซึงพฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมด ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อพระภิกษุ

 

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในการเข้าตรวจค้นกุฏิอดีตพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งที่ถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นพบแผ่นวีซีดีหนังลามกอนาจารจำนวนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในกุฏิด้วย

 

ทั้งนี้ ในทางคดีกรณีมีเพศสัมพันธ์นั้น พนักงานสอบสวนไม่สามารถดำเนินคดีได้ เพราะการที่จะจับพระสึกจากสมณะเพศโดยการกระทำผิดเนื่องจากประพฤติอาบัติปาราชิกซึ่งเป็นความผิดขั้นสูงสุดนั้นจะต้องจับขณะที่พระสงฆ์กำลังเสพสังวาส ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นเรื่องของการสมยอมระหว่างคนสองคน

 

 

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำพยานและบันทึกหลักฐานต่างๆไว้เป็นหลักฐานแล้ว และอาจจะส่งประกอบสำนวนให้กับพนักงานอัยการด้วยก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับในที่ประชุมพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการตรวจสำนวนสักระยะ

 

 

และทั้งหมดนี้ อาจเป็นเหตุผลเบื้องลึกสำคัญ ที่นำไปสู่การไขคำตอบว่า  ทำไม ปฏิบัติ จับกุม-จับสึก อดีตพระผู้ใหญ่หลายรูป ในช่วงวันที่ 24 พ.ค.2561 ถึง ร้อนแรง  รุนแรง รวดเร็ว แบบที่ไม่เคยปรากฎให้เห็นในสังคมไทยมาก่อนหน้านี้


ขอบคุณพิเศษข้อเขียน :  "สำนักข่าวอิศรา"

 

โปรดอ่าน มั่วสีกา-เสพเมถุน? เบื้องลึกกองปราบฯ บุกจับสึกฟ้าแลบ อดีตพระผู้ใหญ่ พันคดีทุจริตเงินทอนวัด ของ "สำนักข่าวอิศรา" ที่นี่