"ลิ่วล้อนายใหญ่"เสร็จไปอีกหนึ่ง? รอบนี้ถึงคิว"อ้ายปึ้ง" ผู้โอหังขนาด"บั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์กระบวนยุติธรรม" สนองนายฯ แบบไม่แยแสมนุษย์หน้าไหน

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

ดูเหมือนคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากคดีหมายเลขดำ อม.51/2560 ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง "นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" อดีต รมว.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากกรณีคืนหนังสือเดินทางให้ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกออกหมายจับคดีอาญาหลายคดีซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 โดยสั่งจำคุก "นายสุรพงษ์" เป็นเวลา 2 ปี ไม่รอลงอาญาวานนี้นั้น จะมีหลายแง่มุมให้พูดถึง...และน่าเก็บรับเป็นบทเรียนแก่ "ผู้เหิมอำนาจ" ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

 

เพระคำพิพากษานั้น...ไม่ต่างอะไรกับการ ถลกหนัง และตบหน้านายสุรพงษ์ ไปด้วยฉาดใหญ่ เพราะใครต่อใครย่อมรู้ดีว่า...นายสุรพงษ์นั้น...โอหัง และกร่างแค่ไหนเมื่อยามที่ "พรรคเพื่อไทย" ขึ้นมาเป็นใหญ่ผ่านคูหาเลือกตั้งเมื่อปี 54 และชื่อของเขาถูกหยิบให้ขึ้นมานั่งเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ควบเก้าอี้....รองนายกรัฐมนตรี...เพื่้อทำภารกิจพิเศษ...ประเคนพาสปอร์ตให้ "ผู้เป็นนาย" แบบไม่แยแสมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น

...ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น...เพราะหากจำกันได้....พลันที่นายสุรพงษ์นั่งเสนาบดีกระทรวงฯ งานแรกที่เขาทำนั้น...คือคืนพาสปอร์ตให้ "ทักษิณผู้เป็นนาย" นี่แหล่ะ แถม "บินไปคืนให้ถึงดูไบ" ด้วยซ้ำ

 

ไม่นับกรณีที่เขาออกมาตอบโต้ทุกฝ่ายที่ท้วงติงกรณีนี้...โดยเขาโต้กลับอย่างเผ็ดร้อนว่า การคืนพาสปอร์ตให้ "นายใหญ่"ไม่ผิด เพราะตนซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงฯ พิจารณาแล้วว่า "ทักษิณ" ไม่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศไทย

 

"การสั่งออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณเป็นการวินิจฉัยทางการเมือง ซึ่งสามารถเห็นแตกต่างกันได้ ไม่ใช่การวินิจฉัยทางข้อกฎหมาย เพราะไม่เห็นว่านายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศไทย ส่วนระยะเวลาออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ภายในวันเดียวนั้น ปกติขั้นตอนการขอหนังสือเดินทางผ่านกรมการกงสุลต่างประเทศ ใช้วิธีส่งข้อมูลทางอิเลคทรอนิคส์มายังกรมการกงสุลในประเทศไทย หากทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์ก็ดำเนินการได้ทันที ดังนั้นกรณีของนายทักษิณจึงสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 วัน ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติ ส่วนที่ระบุว่า นายทักษิณมีรายชื่อติดแบล็กลิสต์นั้น ก่อนหน้านี้กระทรวงต่างประเทศได้สอบถามข้อมูลไปยัง สตช.และศาลแล้ว แต่ไม่เคยมีหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ส่วนกรณีที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ว่า จะมอบหนังสือเดินทางแก่นายทักษิณเป็นของขวัญปีใหม่นั้น เป็นแค่มุขในการให้สัมภาษณ์เพราะเป็นช่วงใกล้ปีใหม่เลยพูดเช่นนั้น แต่การดำเนินการของตนไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือหลักเกณฑ์ หรือสั่งให้ทำสิ่งผิดกฎหมาย" นายสุรพงษ์ เถียงคอเป็นเอ็นในวันที่ที่ประชุม สนช. พิจารณากระบวนการถอดถอนตัวเขาจากกรณีนี้เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2560 หรือเมื่อกว่า 1 ปีก่อน

 

ถ้อยคำของนายสุรพงษ์นั้น บอกให้รู้ว่า...เขาเหิมอำนาจ...และดูถูกคนไทยแค่ไหน...เพราะแค่ประโยคที่ว่า..."การสั่งออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณเป็นการวินิจฉัยทางการเมือง ไม่ใช่การวินิจฉัยทางข้อกฎหมาย เพราะไม่เห็นว่านายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศไทย"....ตามที่เขาหยิบมากล่าวอ้าง โดยไม่ใส่ใจในข้อเท็จจริงที่สังคมต่างรู้ดีว่า...ทักษิณนั้นถูกออกหมายจับจากคดีอาญาหลายคดี...และมีอีกหลายคดีที่คาอยู่ในชั้นโรงชั้นศาลจากการที่ตัวทักษิณหนีเตลิดไป...นั่นยิ่งไม่ต้องตีความเป็นอื่น...นอกเสียจากว่า...เขายินดีพลีชีพต่อการณ์นี้...เพื่อแลกกับเก้าอี้เสนาบดี...เพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูล (ตามความคิดของผู้เหิมอำนาจทั้งหลาย) แม้จะเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางก็ยินดี เพราะว่ากันว่า....ภารกิจนี้ในพรรคเพื่อไทยในตอนนั้นแทบไม่มีใครกล้าขันอาสา เพราะรู้ว่าคุกคงรออยู่ไม่ไกล...นอกจาก "อ้ายปึ้ง" เท่านั้น...ที่ยิ้มร่า...และกระดี๊กระด๊าออกสื่อ...ไม่เว้นวันหลังได้ตำแหน่ง

 

แล้วความโอหังก็ไม่ทำให้เจ้าตัวผิดหวังเลยจริงๆ ...เมื่อศาลนักการเมืองฯ สั่งจำคุก "นายสุรพงษ์" เป็นเวลา 2 ปี ไม่รอลงอาญาวานนี้ โดยวินิจฉัยว่า

 

"จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ (เดิม) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑

      
เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด

      
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๒ ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนีให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และ เป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ"

 

...นั่นชัดจนไม่จำเป็นต้องอธิบายใด ๆ อีก เพราะวิญญูชนต่างรู้ดีว่า นายสุรพงษ์นั้น...เป็นผู้ "บั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย" ตามที่ศาลฯ วินิจฉัยแบบไม่แยแส และเห็นหัวคนอื่นมากน้อยเพียงใด...ยามที่เขามีอำนาจ...จนหลายคนบอก...ไม่น่าให้ประกันด้วยซ้ำ...เพราะความกร่างในอดีตนั้นเหลือล้น