ชื่นมื่น?! "นายกฯ อังกฤษ" ต้อนรับ“บิ๊กตู่” แสนอบอุ่น พร้อมหยอดไทยกำลังเดินสู่ ปชต.ที่มั่นคง ยันพร้อมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ชื่นมื่น?! "นางเทรีซา เมย์" นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร  ต้อนรับ“บิ๊กตู่” อบอุ่น พร้อมหยอดคำหวานไทยกำลังเดินสู่ ปชต.ที่มั่นคง พร้อมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ขณะนายกฯ ไทยชื่นชม "นางเทรีซา เมย์" เป็นผู้นำที่เข้มแข็งเจรจากรณีสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปด้วยเงื่อนไขที่ดีที่สุด

 

 

วันนี้ ( 21 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.15 น. เวลาท้องถิ่น ณ กรุงลอนดอน ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย ได้เข้าพบหารือกับนางเทรีซา เมย์ (Theresa May) นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ในโอกาสที่นายกฯ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักร โดย "พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค" รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ คือ


พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีขอบคุณที่รัฐบาลอังกฤษให้การต้อนรับการในเยือนครั้งนี้ โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชม "นางเทรีซา เมย์" ในการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในการเจรจาให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปด้วยเงื่อนไขที่ดีที่สุด รวมถึงนโยบาย Global Britain ที่ยึดมั่นในการค้าเสรี และเป็นโอกาสดีที่สหราชอาณาจักรจะเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทั้งในและนอกยุโรป พร้อมชื่นชมที่สหราชอาณาจักรให้ความสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยให้ความสำคัญเช่นกัน


ขณะที่ทาง นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรกล่าวว่า ได้ติดตามพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทยอย่างใกล้ชิด และมั่นใจว่าไทยกำลังเดินทางสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคง ยั่งยืน รวมทั้งเล็งเห็นถึงความสำคัญความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร เนื่องด้วยประเทศไทยมีศักยภาพ และมีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคอาเซียน  พร้อมที่จะเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาค และดำเนินความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยจะดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับการเปิดการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหราชอาณาจักร ตลอดจนความเชื่อมั่นที่มีต่อนโยบาย Thailand 4.0 และยินดีสนับสนุนให้ภาคเอกชนอังกฤษร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

 

 

โดยในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้หยิบยกประเด็นการพัฒนาด้านการศึกษาซึ่งประเทศไทยประสงค์ที่จะร่วมมือกับสหราชอาณาจักร  เพื่อให้การศึกษาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะพัฒนาคน เพื่อรองรับทิศทางการพัฒนาประเทศ และเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่อไป