"ช่วยเด็กเพราะ อยากได้หน้า"
พูดออกมา วาจาพล่อย!! อ.จักษ์ จวกเละ ..กะโหลกหนา ปัญญาดับ-เห็นแต่ชั่ว เหมือนตัวชอบ!!!

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ความคืบหน้าการค้นหา13ชีวิตเด็กๆทีมหมู่ป่า และผู้ฝึกสอนหรือโค้ช   ที่พลัดหลงเข้าไปในถ้ำหลวง ตั้งอยู่ภายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน พื้นที่หมู่บ้านจ้องวัด หมู่ 9 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.61 นั้น   หลังผ่านมาไปเกือบ 2 วันการค้นหายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องมาจากเจออุปสรรค ติดปัญหาไม่สามารถผ่านจุดที่น้ำท่วมทางลงอุโมงค์เล็กในถ้ำไปได้ จนต้องประสานหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางเรือ กองทัพเรือ หรือ หน่วย SEAL เข้ามาช่วยดำเนินการ ตามมาด้วยหน่วยสนับสนุนชุดค้นหาอื่น อาทิ  เจ้าหน้าที่กู้ภัย ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน   จิตอาสา ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  ที่ได้ทุ่มเทค้นหาชีวิต ลูกทีมหมูป่า อย่างแข็งขันทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมง

 

จนกระทั้งเมื่อช่วงค่ำคืนของวันที่2 ก.ค.ที่ผ่าน  คนไทยถึงกับเฮทั้งประเทศเมื่อได้ทราบข่าวดี ได้รับการยืนยันว่า เจอ 13 ชีวิตที่ติดในถ้ำหลวงแล้ว ทั้งหมดปลอดภัย เด็กๆอยู่บนเนินนมสาว ห่างจากพัทยา บีช ไปอีก400เมตร ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการหาวิธีให้เด็กๆออกจากถ้ำอย่างปลอดภัยที่สุด

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา ร้อยโทหญิง สุณิสา เลิศภควัต หรือ สุณิสา ทิวากรดำรง หรือ หมวดเจี๊ยบ อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ถึงเรื่องราวในการเข้าช่วยเหลือค้นหาเด็กๆเช่นกัน โดยเนื้อหาทั้งหมดมีดังต่อไปนี้..

 

การหายตัวไปอย่างลึกลับในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนของเด็กๆ นักฟุตบอลทีมหมูป่าอคาเดมี่ในครั้งนี้ บอกอะไรกับสังคมได้หลายอย่าง

ประการแรก ทำให้เราได้เห็นความใจดีของคนไทยส่วนใหญ่ ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากถ้ามีโอกาส ที่สำคัญ เหตุที่พวกเค้ายื่นมือมาช่วยก็แค่เพราะอยากจะช่วย ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนและไม่ได้ต้องการให้โลกรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ร่วมทำหน้าที่พลเมืองดีกับใครเค้าด้วย

อย่างไรก็ตาม นอกจาก ประเทศของเราจะเต็มไปด้วยพลเมืองดีที่ชอบปิดทองหลังพระแล้ว ในสังคมไทยก็ยังมีมนุษย์อีกจำพวก ที่มีพฤติกรรม “ทำดีเพื่อเอาหน้า” อีกด้วย

 

โดยคนประเภทนี้มักจะปรากฎตัวในเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม ไม่ว่าจะเป็นงานรื่นเริง หรืองานโศกเศร้า ขอเพียงให้เรื่องนั้นๆ เป็น Talk of the town ก็พอ คนพวกนี้ก็จะดั้นด้นไปร่วมงานจนได้เพื่อเอาหน้า

ต่อให้สถานที่เกิดเหตุนั้นจะอยู่ห่างไกลเพียงใด หรือการเดินทางจะยากลำบากแค่ไหน ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่ชอบทำงานเอาหน้า ราวกับว่าที่นั่น คือเวทีให้พวกเค้าได้ขึ้นไปโชว์ตัวสร้างภาพเรียกเสียงกรี๊ดจากชาวบ้าน เช่นเดียวกับกรณีของปฏิบัติการช่วยเหลือน้องๆ 13 คนที่ติดถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ที่ จ.เชียงราย เป็นต้น

 

หนึ่งในภาพที่น่าเศร้าใจก็คือ ภาพของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไปพูดเรื่องเศรษฐกิจปากท้องกับพ่อแม่ของเด็กๆ 13 คนที่กำลังใจสลายเพราะอยากรู้ว่าลูกหลานของพวกเค้าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่ได้อยากฟังการบรรยายของ พล.อ.ประยุทธ์ สักนิด

 

"ช่วยเด็กเพราะ อยากได้หน้า"
พูดออกมา วาจาพล่อย!! อ.จักษ์ จวกเละ ..กะโหลกหนา ปัญญาดับ-เห็นแต่ชั่ว เหมือนตัวชอบ!!!

 

นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมสีหน้าของผู้ปกครองเด็ก 13 คน ที่ปรากฎในภาพข่าว จึงมีอาการเบื่อหน่ายและรำคาญ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเห็นได้ชัด โดยสีหน้าของคนนั่งฟังมันฟ้องว่าเขากำลังด่าไอ้คนที่กำลังยืนพ่นอยู่ในใจประมาณว่า “ไอ้หมอนี่มันรู้จักคำว่ากาลเทศะบ้างไหม” สงสัยว่าภายในหัวสมองของคนพูดนั้นคงไม่ได้หมกมุ่นกับการคิดเพื่อหาวิธีช่วยเหลือเด็กๆ ออกจากถ้ำหรือไง แต่คงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการรักษาอำนาจของตัวเองและการหาเสียงล่วงหน้าเท่านั้น ทำให้สิ่งที่หลุดออกมาจากปาก จึงมีแต่เรื่องคำแก้ตัวทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องความทุกข์ร้อนของครอบครัวเด็กๆ 13 คนในทีมหมูป่าอคาเดมี่เลย ที่ทุเรศกว่านั้น ก็คือ มีการหย่อนอาหารลงไปในถ้ำหลวงฯ พร้อมข้อความในกระดาษเขียนว่าา “... พล.อ.ประยุทธ์ เป็นห่วงทุกคนมาก”โดยเจ้าหน้าที่เอากระดาษดังกล่าวมาโชว์ให้นักข่าวทำข่าวก่อนหย่อนลงไปซะด้วย อยากถามว่า การทำแบบนี้มีประโยชน์อะไร แล้วเรียกว่าทำงานเอาหน้าหรือเปล่า ใครรู้ช่วยตอบดิฉันที?

 

"ช่วยเด็กเพราะ อยากได้หน้า"
พูดออกมา วาจาพล่อย!! อ.จักษ์ จวกเละ ..กะโหลกหนา ปัญญาดับ-เห็นแต่ชั่ว เหมือนตัวชอบ!!!

ถ้านี่คือแผนพีอาร์ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วล่ะก็ ต้องถือว่าเป็นการพีอาร์ที่ผิดพลาดล้มเหลว เพราะแทนที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญ แต่กลับถูกก่นด่าไปทั้งบ้านทั้งเมืองว่าไปพูดกับผู้ปกครองเด็ก 13 คน แบบนั้นได้อย่างไร แถมยังด่าซ้ำว่าเดินทางไปที่นั่นทำไมอีกด้วย ที่แย่กว่านั้น คือ มีคนจำนวนมากส่งข้อความต่อๆ กันในไลน์และเฟสบุ๊ค โดยตั้งจิตอธิษฐานต่อเจ้าป่าเจ้าเขาเพื่อขอแลกเด็ก 13 คน กับคนในรัฐบาลประยุทธ์อีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้คนมีความพึงพอใจในบทบาทของรัฐบาล 

 

พล.อ.ประยุทธ์ มากน้อยแค่ไหน แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าเป็นการพีอาร์ทีล้มเหลวได้อย่างไร เพราะแทนที่รัฐบาลจะได้รับเสียงกรี๊ดจากชาวบ้าน กลับกลายเป็นโดนขว้างปาก้อนหินใส่จนวงแตก

 

 

แต่แทนที่ผู้เกี่ยวข้องจะรู้ตัวแล้วแก้ไขตัวเอง กลับไปโกรธคนที่เอาเรื่องจริงมาแฉ ถึงกับสั่งห้ามประชาชนแถวนั้นใช้มือถือถ่ายภาพหรือ live สด การทำงานของเจ้าหน้าที่อีกต่างหาก ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกวิธี ทั้งยังจะทำให้รัฐบาลถูกมองว่าเป็นเผด็จการชอบเซ็นเตอร์จนเป็นนิสัยอีกต่างหาก

 

 

ที่ตำหนิมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายถึงเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร รวมทั้งพลเมืองดีที่เป็นจิตอาสาทุกคนที่กำลังทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อช่วยน้อง ๆ 13 คนออกจากถ้ำหลวงฯ เลยนะคะ แค่ตำหนิคนในรัฐบาลที่ขยันทำเรื่องไม่เข้าท่าเท่านั้นเองค่ะ

 

 

สำหรับเจ้าหน้าที่และอาสมัคร ตลอดจนจิตอาสา รวมทั้งสื่อมวลชนในพื้นที่ทุกท่าน เจี๊ยบขอคารวะในจิตใจและความเสียสละของทุกท่านในครั้งนี้ และขอเอาใจช่วยให้ทุกท่านปฏิบัติภารกิจสำเร็จราบรื่นและพาน้องๆ ทั้ง 13 คน กลับบ้านอย่างปลอดภัยให้จงได้นะคะ.

 

"ช่วยเด็กเพราะ อยากได้หน้า"
พูดออกมา วาจาพล่อย!! อ.จักษ์ จวกเละ ..กะโหลกหนา ปัญญาดับ-เห็นแต่ชั่ว เหมือนตัวชอบ!!!

 

ล่าสุดทางด้าน ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร แต่งกลอนกล่าวถึงพวกที่มีความคิดกล่าวหาผู้อื่นว่ามีพฤติกรรม “ทำดีเพื่อเอาหน้า”  ระบุว่า..

 

#ตัวตนนาง

"ช่วยเด็กเพราะ อยากได้หน้า"
พูดออกมา วาจาพล่อย
สำนึกเถื่อน พวกเลื่อนลอย
ปัญญาถ่อย ด้อยศีลธรรม

 

กะโหลกหนา ปัญญาดับ
สมองกลับ แรงขับต่ำ 
อำมหิต พวกจิตดำ
กระด้างคำ ต่ำเมตตา

 

เห็นแต่ชั่ว เหมือนตัวชอบ
สร้างคำตอบ เป็นกรอบหนา
สติเบี้ยว สุดเยียวยา
เกินรักษา ด้วยหนาเกิน

 

เพราะต่ำตม จมสนิท
จึงขาดจิต คิดสรรเสริญ
ยึดเลวเป็น เช่นแนวเดิน
ไม่ขัดเขิน เดินผิดทาง

 

รูปก็ห่วย แถมป่วยจิต
ไม่แยกผิด จริตขวาง
สะท้อนผล ตัวตนนาง
สิ่งที่อ้าง เพราะนางเป็น?

 

จักษ์ พันธ์ชูเพชร
๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑