- 17 ก.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณีเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มชาวบ้าน จำนวน 27 คน คัดค้านการโค่นต้นไม้ซึ่งบุคคลที่คัดค้านเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกันและญาติกันทั้งหมด ได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าพูดคุยแก่กลุ่มดังกล่าวออกจากบริเวณที่จะโค่นต้นไม้ ซึ่งใช้เวลา 15 นาทีในการพูดคุย กลุ่มดังกล่าวก็ได้ยอมออกจากบริเวณที่โค่นต้นไม้ ทุกหน่วยได้ร่วมกันโค่นต้นไม้จำนวน 4 ต้นแล้วเสร็จ ซึ่งในการโค่นต้นไม้ในครั้งนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนจากครอบครัว "ใจตรง" ที่ได้รับความเดือดร้อนมาตั้งแต่ปี 2560 ขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับต้นไม้ จำนวน 4 ต้น ขึ้นอยู่บริเวณที่สาธารณะใกล้บ้านเป็นต้นเคี่ยม 2 ต้น ต้นมะม่วง 1 ต้น ต้นพันตัน 1 ต้น ต้นไม้ได้โน้มเอียงมาทางบ้านหากมีพายุพัดแรงจะทำให้หักโค่นล้มทับบ้านได้ ซึ่งก่อนจะโค่นล้มต้นไม้ดังกล่าวได้มีการผ่านการทำประชาพิจารณ์ลงความเห็นของชาวบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ว่าต้นไม้มีสภาพไส้เริ่มกลวง และเริ่มเอน อีกทั้งก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีที่แล้วได้มีต้นเคี่ยมขนาดใหญ่ล้มแต่โชคดีที่ไม่ทับบ้านใคร ส่วนต้นไม้ดังกล่าวที่จำเป็นต้องโค่นล้ม เพราะอยู่ห่างจากบ้านเรือนชาวบ้านประมาณ 5 เมตรเท่านั้น หากเกิดพายุพัดแรง สามารถทำให้ต้นไม้ล้มทับบ้านและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้น
ล่าสุดที่ว่าการอำเภอหาดสำราญ อ.หาดสำราญ จ.ตรัง ชาวบ้านกว่า 100 คน 3 ตำบล ต.ตะเสะ ต.บ้าหวี และ ต.หาดสำราญ พร้อมใจกันนำช่อดอกไม้ มามอบและให้กำลังใจแก่นายอนันต์ พรหมเพียรพงศ์ นายอำเภอหาดสำราญ พร้อมกลุ่มชาวบ้านยังรวมใจกันถือป้าย ซึ่งมีข้อความหลายข้อความ เช่น "ขอเป็นกำลังใจให้นายอำเภอเดินหน้าทำดีเพื่อหาดสำราญต่อไป" "เราต้องการผู้นำแบบ นายอำเภออนันต์ พรหมเพียรพงศ์" "นายอำเภอทำเพื่อส่วนรวมทำเพื่อประชาชนไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง" "ห้ามย้ายนายอำเภอหาดสำราญ" "ชาวบ้านทุ่งกอ ม.3 ต.บ้าหวี จ.ตรัง ขอเป็นกำลังใจให้ นายอำเภอหาดสำราญ ขอให้ท่านเป็นนายอำเภอของคนหาดสำราญจนเกษียณลาออก" "นายอำเภอหาดสำราญ ทำถูกต้องแล้ว ชีวิตคนสำคัญกว่าต้นไม้" "ขอขอบคุณนายอำเภอหาดสำราญที่เล็งเห็นชีวิตคนสำคัญกว่าต้นไม้"
ซึ่งนายอนันต์ พรหมเพียรพงศ์ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณในน้ำใจไมตรีจากชาวบ้านอย่างน้ำตาคลอ ว่าตนเองต้องใช้อำนาจตามมาตรา 19 พ.ร.บ.ป้องกันภัยพลเรือนปี 2550 ที่สั่งหน่วยงานต่างๆป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ทรัพย์สินและชีวิตของประชาชน ตนจึงได้นัดหน่วยงานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องนัด 12 ก.ค. เวลา 09.30 น. นัดพร้อมกันหมดเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว แต่เมื่อไปถึงมีพี่น้องบางกลุ่ม 27 คนแต่มีนักข่าวลงไปว่ามา 50 คน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่านักข่าวบางสื่อเอามาจากไหน ซึ่งตนเองมีชื่อหมดแล้วถ่ายรูปไว้หมดว่าใครอยู่ตรงไหนยังไง ได้มีการเจรจา 15 นาที ทำให้กลุ่มดังกล่าวยอมสลาย และได้ดำเนินการโค่นต้นไม้ เมื่อต้นไม้ล้มลงต้นสุดท้ายตนเองรู้สึกดีใจมากเพราะยังไงชีวิตพี่น้องประชาชนไม่จำเป็นต้องเป็นคนแค่เป็นเพียงหมาก็มีค่า แค่ชีวิตเดียวเมื่อเราช่วยได้เราก็มีความสุขแล้ว แต่นี่มีถึง 8 ชีวิตของครอบครัวใจตรง หากตนจะต้องโดนย้ายตนก็พร้อมที่จะไป เพราะตนเองก็ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเดียว ใน 3 ปีสุดท้าย หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นตนเองก็พร้อมที่จะยอมรับหมด ตนเองก็เป็นคนในพื้นที่ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง อยากจะกลับมาพัฒนาบ้านเมืองของตนเองพัฒนา อ.หาดสำราญ หากมีบางคนบางกลุ่มไม่ต้องการนายอำเภอ ก็ไม่เป็นไร ตนเองก็ยอมให้ด่าเสียๆหายๆ จะไม่โต้ตอบสิ่งใด ซึ่งตนเองคิดเสมอจบมหาวิทยาลัยรามคำแหง ยึดหลักตามคติที่ว่าเปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง เมื่อเป็นข้าราชการยิ่งเราเป็นนักปกครองต้องเปรียบตัวเราเหมือนเทียนที่ยอมเจ็บเผาตัวเองเพื่อส่องทางให้พี่น้อง ตนเองยอมมอดไหม้ เจ็บร้อน เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความสุขตรงนี้ และวันนี้พี่น้องประชาชนมาให้กำลังใจตนเอง ซึ่งทางหน่วยเหนือไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง อธิบดีกรมการปกครอง ก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดในการทำ ซึ่งตรงตามกระบวนการทั้งหมด และเรื่องดังกล่าวเกิดตั้งแต่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ประมาณ 6 เดือนกว่าแล้ว หากต้นไม้ดังกล่าวล้มใส่บ้านเรือนประชาชน แล้วเกิดเสียชีวิต ตนเองจะต้องถูกไล่ออกแน่นอน ในการตัด 4 ต้นนี้ที่ได้โค่นล้มลักษณะข้างในไส้เริ่มกลวง หากเกิดพายุลมหัวด้วน อาจจะโดนต้นไม้ล้มทับใส่หลายบ้านเรือนแน่นอน ซึ่งตนเองไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และตนเองกล่าวขอบคุณพี่น้องชาวหาดสำราญ หากมีเรื่องเดือดร้อนสามารถมาร้องทุกข์ได้ที่ตนเองพร้อมที่จะยินดีช่วยเสมอเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ซึ่งทางครอบครัว"ใจตรง" ได้มอบกระเช้าผลไม้แทนคำขอบคุณ ที่นายอำเภอหาดสำราญได้ช่วยโค่นล้มต้นไม้ดังกล่าว หากเกิดพายุทำให้ต้นไม้ล้มทับใส่บ้านและเป็นอันตรายต่อครอบครัวตนเองได้ ต้องคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาว่าต้นไม้จะล้มทับใส่บ้านตอนไหน
ด้าน นางฉิ่ง ใจตรง อายุ 68 ปี และนางสมพร ใจตรง อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112 ม.3 ต.บ้าหวี อ.หาดสำราญ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ได้รับความเดือนร้อน กล่าวว่า ตนเองรู้สึกสบายใจที่สุดที่ทางนายอำเภอหาดสำราญได้ไปโค่นต้นไม้ให้ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองนอนก็ไม่หลับกินก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นห่วงลูกหลาน ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นตนเองยอมเสียสละเพราะตนเองอายุมากแล้ว ก็ไม่อยากให้ชาวบ้านคนอื่นๆเดือดร้อนด้วย พอทางเจ้าหน้าที่และนายอำเภอหาดสำราญเข้าไปโค่นล้มต้นไม้ให้ก็สบายใจและดีใจมากขึ้น ซึ่งลักษณะต้นไม้เคี่ยมจะมีสภาพที่เอนเอียงและจะล้มอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้นไม้อยู่หน้าบ้านของตนเองห่างจากบ้านของตนเพียงแค่ 5 เมตร หากเกิดต้นไม้ล้มก็ทับบ้านตนเองเต็มๆ ในขณะที่บางกลุ่มกลับมาคัดค้านตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน และเป็นผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบหากต้นไม้ล้มเพราะตัวบ้านอยู่ห่างจากต้นไม้เกือบ 1 กิโลเมตร
ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้นำไม้ที่โค่นที่เป็นไม้เคี่ยม จำนวน 2 ต้น พร้อมด้วยต้นมะม่วง จำนวน 1 ต้น และต้นพันตัน 1 ต้น มาเก็บไว้ ที่ว่าการอำเภอหาดสำราญ ส่วนไม้เคี่ยม รอใบอนุญาตทำไม้ต่อไป โดยนายอำเภอหาดสำราญได้มอบหมายให้นายณหทัย สุนทรนนท์ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ยื่นขออนุญาตทำไม้ ณ ศูนย์ป่าไม้จังหวัดตรังตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2561
ภาพ/ข่าว สุนิภา หนองตรุด ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จ.ตรัง