- 19 ก.ค. 2561
กรณีที่มีสื่อมวลชนบางฉบับเสนอข่าวว่า “สั่งตำรวจตามอารักขาสุเทพลงในพื้นที่ร้อยเอ็ด” นั้น อาจจะเป็นความเข้าใจผิด
จากกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ จ.สุรินทร์ เพื่อศึกษา เก็บข้อมูล รับฟังปัญหา
ต่อมาโลกออนไลน์ มีการแชร์เอกสารคำสั่งของงานป้องกันปราบปราม สภ.สุวรรณภูมิ เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ระบุ ตามวิทยุตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ 0019(รอ.) 913/489 ลง 18 ก.ค. 2561 แจ้งว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายสุริยะใส กตะศิลา และคณะ กำหนดเดินทางและสำรวจรับฟังโครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ ในวันที่ 18 ก.ค. เวลาประมาณ 11.00 น. เป็นต้นไป ที่ตำบลทุ่งกุลา และโรงสีไฟฟ้าชีวมวล อ.สุวรรณภูมิ เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยและการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร นาย สุเทพ นายสุริยะใสและคณะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติดังนี้
นำขบวนคณะนายสุเทพ
รักษาความปลอดภัยบริเวณบ้านฮ่องสังข์ ต.ทุ่งกุลา
รักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรบริเวณโรงไฟฟ้าชีวมวลอำเภอสุวรรณภูมิ
รักษาความปลอดภัยบริเวณ โรงไฟฟ้าชีวมวลอำเภอสุวรรณภูมิ
ล่าสุดทางด้านพล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นกรณีดังกล่าว ในหัวข้อ "ทุ่งกุลาไม่มีสีอะไรแล้วครับ" โดบระบุว่า...
กรณีที่มีสื่อมวลชนบางฉบับเสนอข่าวว่า “สั่งตำรวจตามอารักขาสุเทพลงในพื้นที่ร้อยเอ็ด” นั้น อาจจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะการให้ความดูแลนักการเมืองเป็นภารกิจตามปกติของน้องๆ ตำรวจและทหารอยู่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น และคอยควบคุมไม่ให้มีการหาเสียงไปโจมตีพรรคการเมืองอื่นๆ ดังนั้นพรรคการเมืองไหนที่อยู่ในกรอบประเพณีไทย ถ้าลงมาในพื้นที่ เขาก็จะดูแลให้ทุกพรรคเสมอกันหมด ทางคณะผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ไม่ได้มีการร้องขอไปเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ส่วนสาเหตุที่ต้องลงไปในพื้นที่ทุ่งกุลาซึ่งมีเนื้อที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 5 จังหวัด (จ.มหาสารคาม, จ.สุรินทร์, จ.ร้อยเอ็ด, จ.ศรีสะเกษ และ จ.ยโสธร) นั้น มาจาก 2 กรณี คือ
1. พรรคการเมืองที่มุ่งหวังจะเป็นพรรคของประชาชนนั้นจะต้องเขียนนโยบายพรรคจากด้านล่าง (ประชาชน) ขึ้นมาสู่ข้างบน
2. คณะผู้จัดทำนโยบายพรรคจึงมีหน้าที่สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนเสียก่อนนำมาเขียนเป็นนโยบายว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับ “ร่างนโยบาย...” ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทุ่งกุลานี้
โดยพรรค รปช.ตั้งสมมุติฐานว่า “ทุ่งกุลามีการพัฒนามานานมากแล้วกว่า 20 ปี แต่ผลสำเร็จช้ามาก เนื่องจาก
(1) งบประมาณที่ต้องส่งผ่านกระทรวงต่างๆ ก่อนที่จะลงมาถึงพื้นที่
(2) บุคลากรในพื้นที่ซ้ำซ้อนกันมาก
(3) ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนว่าจะให้พื้นที่ไหนปลูกพืชแบบใด (พื้นที่ดินทราย, พื้นที่ดินเค็มน้อย, พื้นที่ดินเค็มมาก) และ
(4) กระบวนการจัดการน้ำให้คงอยู่อย่างถาวรในทุ่งกุลายังไม่เป็นรูปแบบที่ชัดเจน
กระบวนการเหล่านี้สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลา 2-3 ปี ถ้ามีการรวมศูนย์ปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนั้นพรรค รปช.จึงตั้งเป้าว่าจะปรับพื้นที่ทุ่งกุลาทั้ง 5 จังหวัดให้เป็น “เขตเกษตรกรรมพิเศษ” หรือ “เขตเศรษฐกิจพิเศษทุ่งกุลา” เพื่อให้งบประมาณต่างๆ ลงมาถึงพื้นที่โดยตรง การทำงานในพื้นที่จะไม่ซ้ำซ้อนกัน งบประมาณของรัฐบาลที่ส่งเข้ามาสู่ทุ่งกุลาก็จะไม่ตกหล่นไปไหน
จากเหตุผลดังกล่าว พรรค รปช.จึงมีการจัดส่งคณะผู้จัดทำนโยบายฯ ลงไปที่ทุ่งกุลา เพื่อสอบถามถึงความยอมรับของประชาชนต่อนโยบายดังกล่าว ถ้าประชาชนยอมรับ ก็จะขอรับทราบข้อบกพร่องในแผนฯ ว่ามีตรงไหนบ้าง เพราะประชาชนในพื้นที่จะรู้ดีกว่าผู้ที่เขียนแผนมากนัก ซึ่งก็เป็นความจริง คณะผู้จัดทำนโยบายพรรค รปช. ได้รับข้อมูลกลับมาอย่างมากมาย รวมทั้งได้รับไมตรีจิตจากตำรวจ ทหาร และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทุกคนแถมกลับมาอีกด้วย
จึงกล่าวได้ว่า “ทุ่งกุลาไม่มีสีอะไรทางการเมืองแล้วครับ” มีแต่คนไทยที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เท่านั้นครับ
ต่อไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราจะไม่ได้ยินเพลงของคาราวานที่มีเนื้อร้องบางตอนว่า “แปนเอิดเติด สายน้ำระเหิดระเหยหาย ทุ่งโล่งโจงโปงไม้ยืนตาย ลมแล้งแรงร้ายอยู่ตาปี…” จะไม่มีเนื้อหาแบบนี้อีกในทุ่งกุลาครับ