เปิดชื่อวปอ.61คอนเนคชั่น ไม่สำคัญจะใคร แต่ใช้งบแผ่นดิน ให้เศรษฐีเรียนหรือไม่?ประเทศได้อะไร

เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาไม่น้อยภายหลังจากที่ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงหลังอ้างว่าไม่อนุญาตให้นักการเมืองเข้าไปศึกษาหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) แต่มีชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานกรรมการบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด  ไปปรากฎในมติคณะรัฐมนตรี เข้าไปเรียนหลักสูตรดังกล่าวรุ่น 61 – 62    

 

 

 

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ปฏิเสธไม่เคยห้ามนักการเมืองเรียน  ขณะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมารับรองว่า หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย สมัครในนามนักธุรกิจ สามารถเรียนได้ แต่นายยุทธพงษ์ ก็ยังขอให้ตรวจสอบต่อโดยอ้างว่านายอนุทิน เรียนหลักสูตรซ้ำซ้อนเพราะกำลังเรียนหลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย”(นธป.) รุ่นที่ 6 ของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ด้วย ก่อนที่เฟซบุ๊ค Anutin Charnvirakul  โพสต์ระบุว่า  “วันๆทำแต่งาน ไม่เสียเวลาไปยุ่งหรือเที่ยวริษยาใคร ทำตัวให้มีคุณค่า ไม่สนพวกหมาที่มาฉี่รดภูเขาทอง” พร้อมภาพร่วมประชุมกับนักธุรกิจอย่างเคร่งเครียด

 

 

 

 

 

ไม่ว่าการออกมาของนายยุทธพงษ์ ที่โวยวายด้วยเป้าวัตถุประสงค์ใด อิจฉานายอนุทิน หรือต้องการโจมตีกระทบชิ่งรัฐบาลคสช.หรือไม่นั้น แต่ประเด็นหนึ่งที่น่าขบคิดอยู่ไม่น้อยก็คือ การอ้างของนายยุทธพงษ์ ว่าในการเรียนหลักสูตรทั้งสองล้วนใช้งบประมาณแผ่นดิน ตรงนี้จึงเกิดคำถามว่า จริงหรือไม่ แล้วต้องใช้งบประมาณไปเท่าไหร่ในแต่ละปี ??? และประการสำคัญคือ ประชาชนคนไทย ประเทศชาติได้อะไร?? นอกจากที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า บรรดาคนที่เข้าไปเรียนได้เครือข่ายคอนเนคชั่น!!!

 

 

“พล.อ.ประวิตร ออกมาอุ้มนายอนุทินฯมาในฐานะนักธุรกิจ ไม่ได้มาในฐานะนักการเมือง หรือ ถ้าจะว่าเป็นนักการเมืองก็สามารถ มาเรียน วปอ. ได้ เพราะพรรคการเมืองมีโควต้า อยู่ฯ ดังนั้นถ้าพรรคการเมืองมีโควต้าอยู่จริง แล้วทำไม? พรรคการเมืองขนาดใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ ถึงไม่มีชื่อ ไปเรียนหลักสูตร วปอ.61 แม้แต่คนเดียว  มีแต่ชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล และถ้า พรรคการเมืองมีโค้วต้า เรียน วปอ. อยู่จริง ทำไม? นายอนุทินฯ ถึงไม่สมัคร เรียน วปอ.61 ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ทั้งที่ นายอนุทินฯ ขึ้นป้าย ไว้ทั่วภาคอีสาน ว่า เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้ขึ้นป้ายว่าเป็นพ่อค้าขายเหล็ก เหมือนที่มาสมัครเรียน วปอ.” นายยุทธพงษ์ กล่าว

 

 

สำหรับบริษัทธุรกิจที่มีตัวแทนมาร่วมเรียนหลักสูตร วปอ. 2561 อาทิ นายสาโรช ชยาวุฒิกุล กรรมการ กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยเบเวอร์เรจ จำกัด ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) นายอนุกูล ตันติมาสน์ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรมนุษย์และบริหารทั่วไป บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) นายสุรช ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ จากบริษัทล็อกซ์เล่ย์ จำกัด (มหาชน) น.ส.ภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและการบัญชี บริษัทไทยออยล์ จำกัดมหาชน นายสมศักดิ์ ฤทธิ์จรุง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์การ บริษัทแอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์กจำกัด

 

นายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซุปเปอร์ริช เคอเรนซี่ (1965) จำกัด นายชัยวัธน์ จุลมนต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) นายวิบูลย์ วงสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัทบางจาก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายวริทธิ์ นามวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

 

 

ทั้งหลายนี้ล้วนปรากฏเป็นข้อมูลสาธารณะทั่วไป คนไทยล้วนเข้าถึงได้ ก่อนหน้านี้ทุกคนก็เคยได้ยินกันมาโดยตลอดถึงหลักสูตรการเรียนวปอ.ที่ถูกตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถามว่าบรรดาคนที่เข้าไปเรียนล้วนคนระดับสูง เป็นชนชั้นนำแทบทั้งสิ้น ซึ่งคนเหล่านี้ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าล้วนเป็นผู้มีอันจะกิน เผลอๆบางคนนี่ระดับ มหาเศรษฐีก็มี  แล้วการที่บรรดาเศรษฐี ตัวแทนนักธุรกิจแถวหน้าของประเทศเข้าไปเรียนโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน อาจมีคนไทยในฐานะผู้เสียภาษีคนหนึ่งลุกขึ้นมาตะโกนดังๆบ้างว่า ประเทศชาติได้อะไร???

 

 

 

 

ขอบคุณ : วิกิพีเดีย