- 25 ส.ค. 2561
เนื่องจากวันที่ 26 ส.ค. เป็นวันคล้ายวันเกิด นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 16 ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 3 สมัย ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 – 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 รวมเวลา 8 ปี 154 วัน
เนื่องจากวันที่ 26 ส.ค. เป็นวันคล้ายวันเกิด นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 16 ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 3 สมัย ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 – 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 รวมเวลา 8 ปี 154 วัน
ผู้เปี่ยมล้นด้วยอำนาจทางการเมือง หนึ่งเดียวแห่ง ความเป็น "ป๋า" ในกองทัพด้วยบารมีที่ยากจะหาใครเทียบเทียมได้ หนึ่งเดียวที่เป็น รัฐบุรุษ ต้นแบบแห่งคุณงามความดี ผู้ที่ทุกลมหายใจมีแต่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หนึ่งเดียวผู้นั้น คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ก้าวขึ้นสู่ จุดสูงสุดทางการเมือง และการทหาร สร้างคุณูปการให้ประเทศชาติอย่างเหลือคณานัป ด้วยชีวิตและอุดมการณ์แห่งรัฐบรุษ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ดั่งคำกล่าวที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์แรงกล้า ที่เสียสละเพื่อชาติมาโดยตลอด "เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน"
ในวันนี้สำนักข่าวทีนิวส์ จะได้พาไปย้อนดูเส้นทางประวัติรัฐบุรุษของไทยกันอีกครั้ง
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. พ.ศ.2463 ที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ชื่อ “เปรม” นั้น พระรัตนธัชมุนี (แบน คณฺฐาภรโณ) เป็นผู้ตั้งให้ ส่วนนามสกุล "ติณสูลานนท์" พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2462 ครั้งวัยเยาว์ ได้มีความฝันว่าอยากเป็นแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น แต่ด้วยการเรียนแพทย์ในสมัยนั้นที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และอาจเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตที่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องรับใช้ชาติ จึงตัดสินใจเบนเข็มชีวิตด้วยการเข้าสู่การเป็นนักเรียนทหารรั้วแดงกำแพงเหลือง
โรงเรียนนายร้อยเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) แต่ยังไม่ทันได้สำเร็จการศึกษาครบหลักสูตร 5 ปีสงครามอินโดจีนก็ได้ปะทุขึ้น พล.อ.เปรม ขณะนั้น กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 จำต้องออกสู่สมรภูมิรบแรก ในตำแหน่งผู้บังคับหมวดประจำกองรถรบ เนื่องด้วยฝ่ายกองทัพไทยขาดแคลนกำลังรบ ในตำแหน่งผู้บังคับหมวดประจำกองรถรบ ทำการรบที่ปอยเปต
และด้วยเหตุที่ พล.อ.เปรม ซึ่งติดพันภารกิจอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ จึงไม่ได้รับพระราชทานกระบี่จากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัวตามแบบธรรมเนียมปฏิบัติ หากจะมีก็แต่ผู้บังคับการกรม ติดดาวบนบ่าให้ พร้อมกับจ่ากองร้อยที่โยนกระบี่มาให้กลางสนามรบเพียงเท่านั้น
ก่อนที่ พล.อ.เปรม จะก้าวเข้าสู่เส้นทางรับราชการในเหล่าทหารม้าเต็มตัวนั้น แต่แรกเริ่ม พล.อ.เปรม มิได้มีความตั้งใจที่จะรับราชการในเหล่าทหารม้า แม้แต่น้อย เพราะด้วยในยุคนั้นเป็นยุคเรืองอำนาจของ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นักเรียนทหารส่วนใหญ่จึงมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นทหารเหล่าปืนใหญ่ เช่นเดียวกับจอมพลแปลก อีกทั้งในยุคสมั้ยนั้น ผู้ที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของกองทัพบกในตำแห่งผู้บัญชาการทหารบกนั้น ล้วนเป็นนายทหารที่ต้องมาจากเหล่าราบ และเหล่าปืนใหญ่ แทบทั้งสิ้น
หากแต่ใครจะรู้ว่า พล.อ.เปรม นั้นจะเป็นผู้บุกเบิกผลักดันให้ทหารม้าได้เฟื่องฟูอำนาจ ด้วยการได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนแรกที่มาจากเหล่าทหารม้าในเวลาต่อมา ประดุจว่าเป็นยุคทองของทหารม้าทำให้พล.อ.เปรม เป็นดั่งพ่อม้าของลูกม้าทุกคน กลายเป็นเป็น "ป๋า" ที่สร้างคุณูปการให้กับกองทัพ ด้วยพระเดชและพระคุณนี้เอง พล.อ.เปรม จึงครองความเป็น "ป๋าเปรม" ที่มากล้นด้วยอำนาจบารมี จวบจนทุกวันนี้
ทางแยกในการเดินทางเข้าสู่ถนนสายการเมือง ของ พล.อ.เปรม ได้เริ่มต้นขึ้น ใน ปี 2502 ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ภายหลังเหตุการณ์ รัฐประหาร 20 ต.ค. 2501 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ และวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2511 - พ.ศ. 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ต่อมาได้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการรัฐประหารครั้งแรก ในเหตุการณ์ยึดอำนาจโดยคณะปฏิรูปการปกครองนำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ตัดสินใจทำการยึดอำนาจจากเหตุการณ์จราจล 6 ต.ค. 2519 เพราะในขณะนั้น พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 คุมกำลังรบหลักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงถูกใส่ชื่อลงไปอย่างเสียมิได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ พล.อ.เปรมเริ่มเข้ามามีบทบาททั้งด้านการเมืองและการทหารมากขึ้น ส่งผลให้ พล.อ.เปรม ได้ก้าวขึ้นสู่ไลน์ 5 เสือ ทบ. ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
ต่อมาเกิดการรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 20 ต.ค. 2520 เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งพล.อ.เปรม ก็มีรายชื่อร่วมอยู่ในคณะปฏิรูปการปกครองอีกครั้งเช่นกัน และยังเป็นครั้งที่สำคัญเพราะภายหลังการรัฐประหารครั้งนี้ ส่งผลให้พล.อ.เปรม จำต้องนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ในเวลาต่อมาในเดือน ก.ย.2521 ด้วยอำนาจแฝงทางการเมือง ที่ พล.อ.เปรม มีอย่างล้นเหลือ และบทบาทในกองทัพส่งผลให้ พล.อ.เปรม ขยับจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บัญชาการทหารบกในที่สุด และยังควบเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในปี 2522 อีกด้วย
1 ปีต่อมา เส้นทางการเมืองและการทหารของพล.อ.เปรม ก็ได้มาบรรจบกัน เมื่อรัฐบาลของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เกิดปัญหาในการบริหารประเทศทั้งเรื่องการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจากปัญหาคณะรัฐมนตรีและระบอบรัฐสภา รวมทั้งการเคลื่อนไหวทางการเมืองจากเบื้องหลังของกลุ่มนายทหาร จปร.7 ผู้ที่ใกล้ชิดกับพล.อ.เปรม มาโดยตลอด ส่งผลให้พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ประกาศกลางสภา ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี
จากนายทหารม้าที่จับพลัดจับผลูเข้าสู่เกมการเมืองอย่างเสียมิได้ ในวันที่ 3 มี.ค. 2523 พล.อ.เปรม ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่แล้วในปี 2524 พล.อ.เปรม กลับถูกท้าทายจากนายทหารกลุ่ม จปร.7 ซึ่งในขณะนั้นที่มีความสัมพันธ์เปรียบเสมือนลูกรักของตน ต้องการยึดอำนาจจาก พล.อ.เปรม เสียเอง ด้วยเหตุที่อ้างว่าไม่พอใจจากการที่ พล.อ.เปรม ต่ออายุราชการผู้บัญชาการทหารบกอีกหนึ่งปี ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการเริ่มขึ้น ในวันที่ 1 เมษายน 2524 แต่ด้วยชั้นเชิงในการวางหมากเกมการเมืองที่เหนือกว่าของ พล.อ.เปรม ทำให้ แผนการยึดอำนาจของเหล่านายทหารผู้ใกล้ชิดต้องเป็นฝ่ายปราชัยไปในที่สุด จึงเป็นที่มา "กบฏเมษาฮาวาย" จากเหตุการณ์นี้เองที่สะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดีของพล.อ.เปรม ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เพราะเมื่อแผนการของผู้ก่อการรั่วไหล พล.อ.เปรม เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น จึงได้กราบบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา เพื่อถวายความปลอดภัย
ตลอดระยะเวลาที่พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศได้สร้างคุณให้แก่ประเทศอย่างเหลือคณานัป เพราะ ช่วงเวลานั้นประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยคุมคามจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์รอบด้าน รวมถึงผู้มีอิทธิพลภายในประเทศจากการทำธุรกิจผิดกฏหมาย แต่ด้วยความสามารถในการบริหารประเทศและการทหารของ พล.อ.เปรม จึงสามารถนำพาประเทศกลับเข้าสู่ความสงบได้ในที่สุด โดยเฉพาะผลงานสำคัญชิ้นหนึ่ง คือ การผลักดันนโยบาย “การเมืองนำการทหาร” เพื่อยุติการทำสงครามสู้รบ ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับ ฝ่ายรัฐบาล
ผลพวงจากนโยบายดังกล่าว เป็นการให้โอกาสกลุ่มนักศึกษา ที่หนีเข้าป่าภายหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 มีโอกาสหวนมาเดินบนหนทางแห่งสันติภาพได้ อีกทั้งนโยบายดังกล่าว ยังช่วยลด ความขัดแย้งทางการเมือง ณ ช่วงเวลานั้นได้อย่างเป็นรูปธรรม และยังส่งผลให้รัฐบาลสามารถทุ่มเทกำลัง มาฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไป
และแล้วในวันที่ 4 ส.ค. 2531 ในที่สุดพล.อ.เปรม ก็เลือกที่จะวางมือจากการเมือง ถึงแม้จะมีการทาบทามและเสนอให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย แต่ พล.อ.เปรมกลับประกาศว่า "ผมพอแล้ว" เรียกได้ว่าเป็นการ ปิดม่านชีวิตทางการเมืองอย่างสง่างาม ด้วยระยะเวลา 8 ปี 5 เดือนและด้วยคุณงามความดีที่สั่งสมมาโดยตลอดเปรียบเสมือนแสงไฟอันโชติช่วงที่ไม่มีวันมอดดับโดยง่าย พล.อ.เปรม ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีวันที่ 23 ส.ค. 2531 เพื่อทำหน้าที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาท สู่รัฐบุรุษ วันที่ 29 ส.ค. ปีเดียวกัน และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น ประธานองคมนตรีในเวลาต่อมา เมื่อ วันที่ 4 ก.ย. 2541 อันเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต
ภายหลังการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย 13 ต.ค. 2559 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เสด็จสวรรคต ในวันเดียวกันนั้นเอง พล.อ.เปรม จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนโดยตำแหน่งประธานองคมนตรี เพื่อเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินในพระปรมาภิไธยหรือพระนามาภิไธยพระมหากษัตริย์เป็นการชั่วคราว จนถึงวันที่ 1 ธ.ค. 2559 รวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 49 วัน
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กูคือ ป๋า ข้าชื่อ เปรม : อมตะแห่งป๋าเปรม วาสนา นาน่วม