พลิกแฟ้ม-คดีฟอกเงินกรุงไทย! มหากาพย์โกงที่ทำ"ลูกโอ๊ค-อยู่ไม่สุข" เหตุส่อจะซ้ำรอยพ่อ-อาสาว" หรือไม่-เดี๋ยวได้รู้?

พลิกแฟ้ม-คดีฟอกเงินกรุงไทย! คดีที่ทำ"ลูกโอ๊ค-ผวาหนัก-อยู่ไม่สุข" เหตุส่อจะซ้ำรอยพ่อ-อาสาว" หรือไม่-เดี๋ยวได้รู้?

พลิกแฟ้ม-คดีฟอกเงินกรุงไทย! คดีที่ทำ"ลูกโอ๊ค-อยู่ไม่สุข" เหตุส่อจะซ้ำรอยพ่อ-อาสาว" หรือไม่-เดี๋ยวได้รู้?


 

นับว่ากลับมาอยู่ในความสนใจของคอการเมืองทันที หลัง "นายประยุทธ เพชรคุณ" รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ออกมาเปิดเผยว่า วันนี้อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 ยังไม่มีคำสั่งคดีที่ DSI ยื่นสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง "นางกาญจนาภา หงษ์เหิน" , "นายวันชัย หงษ์เหิน" และมี "นายพานทองแท้ ชินวัตร" รวมอยู่ด้วย เป็นผู้ต้องหาที่ 2 – 4 ในคดีร่วมกันฟอกเงินการทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย-กฤษดามหานครมิชอบ เนื่องจากมีการสั่งสอบเพิ่มเติมในหลายประเด็นทางอัยการ จึงนัดสั่งคดีครั้งที่ 2 อีกครั้ง 10 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 น. 

 

“คดีนี้เป็นคดีฟอกเงินมีอายุความ 15 ปี ขณะนี้ยังเหลือเวลาอีก 2-3 ปี ยืนยันว่า ยังไม่ใกล้หมดอายุความ ส่วนวันที่ 10 ตุลาคมนี้จะสามารถนำตัวนายพานทองเเท้กับพวกไปฟ้องศาลได้หรือไม่นั้น ผมไม่อาจตอบได้ต้องไปรอผลการพิจารณาคดีของอัยการสำนักงานคดีพิเศษ4ในวันดังกล่าว” รองโฆษกฯ อัยการสูงสุด กล่าว

 

อย่างที่กล่าว....การออกมาเปิดเผยของรองโฆษกฯ อัยการสูงสุดข้างต้นนับว่าน่าสนใจ และเรียกสายตาจากคอการเมืองให้หันมาจับจ้องในเรื่องนี้ทันที เพราะโดยตัวมันเอง...คดีปล่อยกู้กรุงไทยฯ นั้นน่าจับตาโดยตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะมันถือเป็นอีกหนึ่งมหากาพย์ "การโกง" ที่ยืดเยื้อยาวนานพอสมควร กระทั่งอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ถูกศาลฎีกาฯ นักการเมืองจำคุกไปถึง 18 ปี เมื่อกลางปี 2558 หรือเมื่อ 3 ปีก่อน ขณะที่ชื่อของนายพานทองแท้ ก็คาบลูกคาบดอก...มีชื่อ...ไม่มีชื่อ...ในคดีนี้มาโดยตลอด


อย่างไรก็ตาม หากจะทำความเข้าใจคดีนี้ ต้องย้อนกลับไปถึงชั้นการสอบสวนของ “ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งเกิดขึ้นหลังเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน โดยตอนที่ คตส. สรุปสำนวนคดีส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อนั้น (คือ คตส.หมดหน้าที่ และหน่วยงานที่ทำคดีต่อ คือ ป.ป.ช.)  ในสำนวนของ คตส. มีผู้กระทำความผิดถึง 31 คน  และกรรมการ คตส. บางท่าน เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินการปล่อยกู้มีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการ "โอนเงินให้ "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีต ส.ส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขาฯ ส่วนตัว ของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย 4.5 พันล้านบาท" กรรมการ คตส. ท่านหนึ่ง ให้เบาะแส ซึ่งเกิดจากการตรวจพบเส้นทางการเงินที่โยงใยถึง  "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน

 

และจากแฟ้มสำนวนคดีแบงก์กรุงไทยฯ ของ คตส. ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 28/2551 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายพานทองแท้ ว่า “ส่วนผู้ที่ได้รับเงินจากการกระทำความผิด คตส. เห็นว่า ให้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ฐานรับของโจร เป็นจำนวน 4 ราย แม้บุคคลเหล่านั้นไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคล 27 รายข้างต้น แต่ได้รับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานยักยอก และช่วยปิดบังซ่อนเร้นอันทำให้ยากต่อการติดตาม และบุคคลทั้งสี่นี้ให้แยกสำนวนไปดำเนินคดีในศาลอาญาต่อไป”

 

 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เมื่ออัยการสูงสุด ตัดสินใจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2555 หรือเมื่อกว่า 5 ปีก่อน โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 นอกนั้นก็มี กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชน รวม 27 รายเป็นจำเลยร่วม หลังจากถูกสังคมตั้งคำถามกรณีนี้อย่างหนักหน่วง ว่าเหตุใดจึงอึดอาดนัก ทว่าในคำฟ้องนั้นกลับทำให้สังคมคลางแคลงใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะพบว่ามีถึง 4 คน ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้อย่างชัดเจน กลับหลุดคดี คือ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และ 1 ในคนที่ได้ประโยชน์นั้น ได้แก่ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ก่อนที่จะหวนกลับมามีชื่อในสำนวนอีกครั้ง กระทั่งถูก DSI หิ้วตัวส่งอัยการฯ และเลื่อนนัดสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 10 ตุลาคม 2561 อย่างที่กล่าว 

 
ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อกรณีที่ชื่อของนายพานทองแท้หายไปในช่วงหนึ่ง ที่ผ่านมาทางอัยการสูงสุดกลับไม่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่สังคมมากนัก มีอภินิหารอะไรในเรื่องนี้หรือไม่ และปล่อยให้คาใจคนไทยที่รักความถูกต้องมาจนวันนี้ (เหมือนกับที่ถอนฟ้องคดีธรรมกาย ที่เหลือการสอบพยานอีกแค่ 2 ปากไม่มีผิด)


แต่ก็นั่นแหล่ะ ท้ายที่สุดชื่อของ "นายพานทองแท้" ได้หวนกลับมาอยู่ในสำนวนอีกครั้งหลังคดีถูกพลิกแฟ้ม กระทั่งถูกเรียกเข้ารับทราบข้อหาฟอกเงินเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา ก่อนที่คดีจะหมดอายุความไปก่อนดังที่หลายคนตั้งข้อสังเกต เหมือนกับที่ "คดีรับของโจร" ที่ควบคู่กันมากับคดีฟอกเงิน ถูกยื้อจนหมดอายุความไปต่อหน้าต่อตา 


และการแจ้งข้อกล่าวหาของ DSI ในคราวนั้นเป็นผลมาจาก การที่ ป.ป.ง.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ DSI ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินจำนวน 10 ล้านบาท และ 26 ล้านบาท ซึ่งเปรียบเสมือนเงินปากถุงจากการปล่อยกู้คดีดังกล่าว และถึงแม้ทางด้าน "นายพานทองแท้" จะเคยเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ในฐานะพยานไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อในหลักฐานที่พยานนำเข้าชี้แจง ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีเข้าองค์ประกอบความผิด ของกฎหมายฟอกเงิน จึงมีมติให้ออกหมายเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหานี้ กระทั่งต่อมาตัวนายพานทองเองยังได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ DSI เมื่อช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฯ รวมทั้งระบุ พร้อมสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

 
ขณะที่นายชุมสาย ศรียาภัย ซึ่งเป็นทนายความของนายพานทองแท้ เคยเข้ายื่นหนังสือต่อ DSI โดยอ้างว่า คสต. ได้แจ้งข้อหานายพานทองแท้ในข้อหารับของโจรเพียงข้อหาเดียวเท่านั้น ดังนั้น จะดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินกับนายพานทองแท้ซึ่งเป็นลูกความของเขาไม่ได้...เรื่องนี้เป็นผลแค่ไหน...คงไม่ต้องสาธยาย เพราะไม่เช่นนั้น...นายพานทองแท้" คงไม่ถูกหิ้วไปสำนักอัยการฯ มาก่อนหน้าแน่

 

...อย่างที่บอก...เรื่องนี้เป็น "มหากาพย์การโกง" ที่ยืดเยื้อยาวนานระดับ 10 ปีขึ้น และคงใกล้จะถึงโค้งสุดท้าย...ที่จะถูกนำขึ้นสู่ศาลฯ แล้ว (หากอัยการสั่งฟ้อง) ส่วนสุดท้ายเรี่องนี้จะลงเอยเช่นไร...ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่จะต้องระเห็จออกนอกประเทศ...ซ้ำรอยผู้พ่อ และอาสาวหรือไม่...โปรดติดตามอย่ากะพริบตา