- 16 ก.ย. 2561
ความน่าเชื่อขององกรณ์ UNHRC ที่เพื่อไทยพากันขย่มอยู่ ขณะนี้ สหรัฐฯกลับร้องยี้..ได้ประกาศขอถอนตัวจากสมาชิก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็น เพราะเป็นองกรณ์ ที่มีอคติ-ตีสองหน้าก เป็นพวก "มือถือสากปากถือศีล" !! เรื่องนี้เพื่อไทยไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้
สืบเนื่องจากรณีที่มีการเปิดเผยองค์การสหประชาชาติ UN รายงานประจำปี แจงรายชื่อ 38 ประเทศว่าเป็น ประเทศที่น่าละอาย โดยอ้างว่ามีการปฏิบัติไม่ดีต่อนักสิทธิมนุษยชนหรือผู้ให้ความร่วมมือกับกลุ่มสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ที่เพิ่งถูกระบุชื่อด้วยในปีนี้ โดยรายงานประจำปีฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย นาย Andrew Gilmore ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน UNHRC อันเป็นองค์การในเครือ UN ซึ่งจะใช้ประกอบการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นในสัปดาห์หน้า
ในส่วนของไทยที่ถูกระบุถึงนั้นเป็น กรณีนายไมตรี จำเริญสุขสกุล และน.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ (ทนายจูน) และนำเรื่องที่ติดตามจากรายงานปีที่แล้ว เช่น กรณีฟ้องร้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภายใต้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการให้ความร่วมมือตามกลไกด้านสิทธิมนุษยชน เพราะขั้นตอนทุกอย่างเป็นไปตามหลักกฎหมายและระเบียบ โดยนายกฯ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายหรือเจตนาจะคุกคาม ข่มขู่ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และยังให้ความสำคัญกับการปกป้องคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชนให้มีความปลอดภัยและสามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติงานและดำรงชีวิตได้
จากพฤติกรรม UNHRC ที่ผ่านมาในอดีตนั้น เป็นตัวการต่อต้านรัฐบาลคสช. และเรื่องสำคํญที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของคนไทย UNHRC เป็นหัวขบวนหนุนขบวนการล้มเจ้า องค์กรนี้เอง เบื้องหลัง “ตั้ง อาชีวะ” หรือ นายเอกภพ เหลือรา ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง หนีซุกนิวซีแลนด์
สำหรับคนไทยองค์กรนี้ได้ หมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว และเชื่อได้ว่า UNHRC มีเจตนาบางประการ ที่รับใช้กลุ่มการเมืองบางกลุ่มหรือไม่ เพราะแม้ภาครัฐจะได้ออกมาชี้แจ้งเหตุและผล แต่เรื่องก็ยังไม่จบลง บรรดาลูกหาบพรรคเพื่อไทยได้จังหวะต่างพากันดาหน้าออกมาฉวยโอกาส ในการโจตี รัฐบาล อาทิ “หมวดเจี๊ยบ” ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง สมาชิกพรรคเพื่อไทย บางช่วงได้กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรสร้างความอับอายซ้ำสองให้ประเทศไทย โดยการพูดโกหกเพื่อเอาตัวรอดเนื่องจากติดโผเป็น 1 ใน 38 ประเทศที่มีพฤติกรรมคุกคามนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาลกำลังพูดบิดเบือนให้คนไทยเข้าใจว่าการประณามดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหญ่
หรือนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่บางช่วงได้กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวสร้างความเสื่อมเสียแก่ประเทศอย่างมาก และสะท้อนถึงพฤติกรรมของรัฐบาลใน 4 ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี การที่ไทยติดเป็นประเทศน่าละอายนี้ นอกจากจะทำลายภาพพจน์ของประเทศแล้วยังทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้การลงทุนต่างประเทศที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งหดหายลดลงไปอีก ไม่ได้มีเพิ่มขึ้นมากเหมือนที่รัฐบาลพยายามบอก ตัวเลขการลงทุนแท้จริงไม่ได้เพิ่มและยังน้อยกว่าตอนก่อนการปฏิวัติมาก ซึ่งไม่อยากให้ไทยเป็นเหมือนประเทศเมียนมาร์ที่แต่แรกมีแนวโน้มที่ดีหลังการเลือกตั้ง แต่มาเจอเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนจนทำให้การลงทุนจากต่างประเทศหดหาย ประเทศเมียนมาร์เลยไม่พัฒนาเท่าที่ควร
และ นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานบางช่วงกล่าวว่า น่าเป็นห่วงในกรณีถ้าเขามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจริงแล้วเราปฏิเสธก็อาจจะถูกตำหนิได้ว่า “โกหก” และจะเป็นการ “โกหกคำโต” กลางเวทีสำคัญระดับโลก จะเป็นการซ้ำเติมภาพพจน์ของประเทศไทยในทางที่ไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามที่ผ่านต้องบอกว่าพลพรรคเพื่อไทย ถือว่าชื่นชม นิยม ในสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งสิทธิเสรีภาพ ต้นแบบแห่งประชาธิปไตย สังเกตจากการที่ทูตสหรัฐออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย รัฐบาลคสช. บรรดาพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาขานรับยกย่องเป็นยกใหญ่ แต่เรื่องสำคัญความน่าเชื่อขององกรณ์ UNHRC ที่เพื่อไทยพากันขย่มอยู่ ขณะนี้ สหรัฐฯกลับร้องยี้..ได้ประกาศขอถอนตัวจากสมาชิก 'คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน'ยูเอ็น เพราะเป็นองกรณ์ ที่มีอคติ-ตีสองหน้าก เป็นพวก "มือถือสากปากถือศีล" !! เรื่องนี้เพื่อไทยไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้
20 มิ.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน นางนิกกี ฮาลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ ได้ประกาศว่า สหรัฐจะถอนตัวออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ UNHRC โดยอ้างว่า เป็นองกรณ์ที่ตีสองหน้า ทำงานเพื่อรับใช้ตนเอง ไร้การปฏิรูป รวมถึงดูหมิ่นสิทธิมนุษยชน
พร้อมระบุว่า การที่ UNHRC เพ่งเล็งและเป็นปรปักษ์ต่ออิสราเอลอย่างไม่หยุดหย่อนแสดงให้เห็นชัดเจนว่าองค์กรนี้ขับเคลื่อนด้วยอคติทางการเมือง ไม่ใช่สิทธิมนุษยชน
คำถามที่ต้องกลับมาทบทวนคืน องกรณ์นี้ยังมีความน่าเชื่อถืออีกหรือไม่? พูดง่ายๆแม้แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐยังไม่เอาเลย!!