เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

ย้อนดูเหล่าบรรดา อดีตพระสงฆ์ ใส่ผ้าเหลืองหากินรับปัจจัย จนทำให้พระพุทธศาาสนามัวหมอง

    พระรัตนตรัย ประกอบไปด้วยแก้ว 3 ประการ อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ทำหน้าที่ธำรงค์ไว้ซึ่งพระพุทธศาสนามาหลายพันปี ทว่าปรากฏเรื่องจริงอันน่าโหดร้าย เมื่อพบว่าในปัจจุบันพระสงฆ์ผู้มีบทบาทสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนา และมีความเป็น "สุปฏิปันโน" หรือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หนึ่งในสังฆคุณตามพระธรรมวินัยกลับหาได้ยากยิ่งนัก

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ  

 

    ท่ามกลางความเจริญทางโลกที่เพิ่มมากขึ้น จิตใจของเหล่าบรรพชิตบางรูปกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง กลับกลายมาเป็นความเสื่อมด้วยเรื่อง "อื้อฉาว" ตามหน้าสื่อไม่เว้นแต่ละวัน และได้ทำลายความศรัทธาของ "ชาวพุทธ" อย่างไม่เหลือชิ้นดี เหล่านี้ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงโดยง่าย เช่นเดียวกับกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้

 

    วันที่ 24 ก.ย. 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำกำลังจับกุม นายเกรียงไกร เหลื่อมแก้ว อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125 ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ขณะกำลังแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์เดินบิณฑบาตบริเวณซอยวงเวียน 22 กรกฎา ซ.5 แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

 

    สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านในละแวกนั้นว่า มีพระภิกษุท่าทางมีพิรุธเดินบิณทบาตร่วมกับพระรูปอื่น โดยมีพฤติกรรมไม่รับภัตตาหารแต่จะรับเฉพาะปัจจัยเพียงเท่านั้น จากการสอบสวนนายเกรียงไกรให้การรับสารภาพว่าไม่ได้อุปสมบทหรือบวชเรียนแต่อย่างใด ที่แต่งกายเลียนแบบพระภิกษุเพียงเพราะต้องการบิณฑบาตรับปัจจัยที่ชาวบ้านถวายให้เท่านั้น และทำมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวส่ง สน.พลับพลาชัย 1 เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป ทว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้มีกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับผู้ที่ใช้ผ้าเหลืองหากิน กระทำความผิด อาทิ

 

    ย้อนกลับไปเมื่อ ปี 2537 ชื่อของพระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ ในวัย 40 ปี เป็นข่าวโด่งดังในหน้าหนังสือพิมพ์นานหลายเดือน หลังจากมีสีกากลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปยังกรมการศาสนาว่ายันตระ ประพฤติตนขัดกับหลักสมณะเพศ เนื่องจากได้ทำการล่อลวงสีกาชื่อ จันทิมา มายะรังษี เพื่อเสพเมถุนจนตั้งครรภ์และคลอดบุตรสาวในเวลาต่อมา โดยมีการนำเทปเสียงสนทนาระหว่าง ยันตระ และ นางจันทิมา มาเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาคดีด้วย

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

    ก่อนจะเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนี้ขึ้น อดีตยันตระถือเป็นพระรูปงาม เป็นผู้มีวาทศิลป์มีลีลาการเทศนาที่ไพเราะ เรียกได้ว่าเป็นอดีตพระรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน ทว่าการเสพเมถุนถือเป็นอาบัติขั้น "ปราชิก"  จนในที่สุดภายหลังการต่อสู้ทางกระบวนการทางกฏหมายเป็นเวลานานได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้พ้นจากความเป็นพระภิกษุ ต่อมานายวินัยจึงลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมเพื่อหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาและได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน

 

    อีกหนึ่งเคสที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของต้นตำรับ กุมารทอง ของขลัง และ "อวิชชา" ทั้งหลายทั้งมวล สำหรับ เณรแอ หรือ นายหาญ รักษาจิตร์ ผู้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดหนองระกำ อ.หนองโดน จ.สระบุรี ถึงแม้ว่าอายุจะล่วงเลยเข้าสู่วันที่จำต้องเข้าสู่การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่เจ้าตัวก็ยังคงยืนกรานครองความเป็นสามเณรและเลือกที่จะร่ำเรียนไสยศาสตร์มนต์ดำจากอาจารย์เขมรจนมีชื่อเสียงโด่งดังมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

 

    กระทั่งปี 2537 เณรแอ ใช้ใต้ถุนเมรุวัดหนองระกำทำพิธีปลุกเสกกุมารทอง ของขลังตามท้องเรื่องในวรรณคดีดัง "ขุนช้างขุนแผน" และการปลุกเสกในครั้งนั้นมีการบันทึกภาพวิดีโอขั้นตอนการปลุกเสกไว้อย่างละเอียด โดยเฉพาะขั้นตอนการย่างศพเด็ก ต่อมามีการนำวิดีโอเทปไปเผยแพร่ในสื่อมวลชนต่างๆ จนเป็นข่าวครึกโครม เป็นเหตุให้เณรแอต้องติดคุกเป็นเวลา 1 ปี 

 

    หลังจากพ้นโทษในปี 2538 เณรแอยังคงยึดอาชีพหมอเสน่ห์ และแต่งงานกับนางชไมพร รักษาจิตร์ และมีการบังคับหลอกลวงหญิงสาวโดยอ้างว่าทำพิธีทางไสยศาสตร์แต่แท้จริงเป็นการหลอกข่มขืนหญิงสาวที่หลงเชื่อ ทั้งยังถ่ายวิดีโอไว้แบล็กเมล์เหยื่อ นางชไมพรจึงร้องเรียนต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวหาเณรแอ ว่าเป็นจอมลวงโลก เป็นเหตุให้ต้องกลับเข้าเรือนจำอีกครั้ง

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

 

    กระทั่งปี 2549 เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักของเณรแอ โดยพบเณรแอ นอนอยู่ในห้องพักกับหญิงสาววัย 19 ปี รายหนึ่ง ซึ่งหญิงสาวรายนี้ยอมรับกับตำรวจว่า เดินทางมาพบเณรแอเพื่อให้ทำเสน่ห์ยาแฝดให้ แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าพิธี จึงต้องยอมร่วมหลับนอนกับเณรแอแทน ทำให้ต่อมาเณรแอ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งจากคำพิพากษาศาลอาญารัชดาฯ ในคดีฉ้อโกง ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 100 ปี แต่คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษลงมา และปัจจุบันได้รับพระราชทานอภัยโทษออกจากเรือนจำแล้ว

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

    อีกหนึ่งเรื่องอื้อฉาวจากอดีตพระภิกษุชื่อพระวิรพล ฉัตติโก เรียกตนเองว่าหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก และเป็นที่รู้จักในชื่อ เณรคำ มีชื่อเสียงจากความสามารถในการเทศนาธรรม แต่ภายหลังถูกถอดจากสมณเพศเพราะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

   

    ก่อนถูกตัดสินให้พ้นสมณเพศ พระวิรพล ฉัตติโก ถูกติเตียนโดยทั่วไปถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม หลังจากที่มีผู้แพร่ภาพพระวิรพลในหลากหลายอิริยาบถที่ผิดอาจาระของสงฆ์ อาทิ วิดีโอแสดงพระวิรพลในเครื่องบินส่วนตัวพร้อมกับถือกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ภาพถ่ายที่เณรคำ เอนแนบลำตัวไปบนรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงหนังสือที่เณรคำ แต่งชื่อ ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมว่าเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากวัฏสงสารแล้ว ซึ่งในขณะนั้นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ได้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อหาข้อมูลแต่ไม่สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนได้เนื่องจากไม่มีอำนาจโดยตรง

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

 

    จวบจนกระทั่งวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 คณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานีและคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษได้ขับเณรคำ ออกจากสมณเพศ เนื่องจากผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงต่อมามีตัวแทนของเณรคำ ให้ข่าวว่าเณรคำ ได้ลาสิกขาแล้วที่วัดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมปีเดียวกัน ซึ่งเณรคำได้อ้างว่าตนมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยและสามารถอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้อย่างถูกกฎหมาย และยังกล่าวอีกด้วยว่าจะตั้งนิกายใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ไทย ต่อมาทางการสหรัฐฯ ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนในปี 2560

 

    ล่าสุดวันที่ 9 ส.ค. 2561 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.2341/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวิรพล สุขผล อายุ 39 ปี หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ เป็นจำเลยซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เช่น เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการจัดสร้างสิ่งต่างๆ รวมถึงกรณีอาศัยความเป็นพระภิกษุ หลอกลวงว่าจำเลยนิมิต (ฝัน) พบองค์อินทร์ ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก จึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

 

 

เหลือบ ริ้น วงการสงฆ์ "ชายใส่ผ้าเหลือง" หากินรับปัจจัย ย้อนดู 3 สมี ทำเสื่อมยึดอาชีพพระ

 

    รวม 12 กระทงๆ ละ 2 ปี เป็นจำคุก 24 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายม.91 (2) เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกสูงสุดได้ไม่เกิน 20 ปี และให้ชดใช้เงินกับผู้เสียหาย 29 ราย ตามจำนวนที่ฉ้อโกงไป ส่วนคดีชำเราเด็กหญิงนั้น ศาลอาญาจะนัดพิพากษาในเดือน ต.ค. ที่จะถึงนี้

 

    นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเหล่าผู้ครองอาภรณ์แห่งธรรม ที่ตกอยู่ในวังวนแห่งอบายจนกลายเป็น "สมี" แต่จากเหตุการณ์เหล่านี้อาจเป็นการสะท้อนให้ประจักษ์ถึงคำกล่าวที่ว่า พุทธศาสนาไม่เคยเสื่อม หากที่เสื่อมคือจิตใจของคน ก็เป็นได้