- 22 ต.ค. 2559
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งพระอริยสงฆ์ http://panyayan.tnews.co.th
จากบทสนทนาธรรมระหว่างหลวงพ่อฤๅษีลิงดำกับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้กล่าวไว้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงปรารถนา "พุทธภูมิ" มานานแล้ว และเวลานี้ก็สั่งสมบารมีถึงขั้น "ปรมัตถบารมี" แต่เนื่องจากการปรารถนาพุทธภูมิเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องบำเพ็ญกันมาก และการที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็น "วิริยาธิกะ" ซึ่งต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปนั้น แม้จะทรงบำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว แต่แสนกัปอาจยังไม่ครบ จึงต้องทรงเกิดอีก ๕ ชาติ
ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีที่ยาวนานเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละและความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์
ความเสียสละและความพยายามนั้นมีมากมายขนาดไหน อาจพิจารณาได้จากคำกล่าวของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำดังต่อไปนี้ ...
"ปรารถนาพุทธภูมินี่เหนื่อย!
ฉันเคยเป็นพุทธภูมิมาก่อน ฉันรู้ว่าพุทธภูมิสู้ทุกอย่าง งานทุกอย่าง ถ้าลาพุทธภูมิปั๊บ อารมณ์ตัด ถ้าตัดก็ไม่ได้ทิ้งงานนะ แต่อารมณ์ต่างกัน คือเสริมขึ้น อารมณ์มุ่งตรงเข้าตัดกิเลส เพราะพุทธภูมิไม่ตัดกิเลส พุทธภูมิทรงฌานมากกว่า หนักไปในเรื่องฌาน พอใช้วิปัสสนาญาณมากเข้า อารมณ์มันเบาลง ... มันต่างกัน
พระโพธิสัตว์นี่...พระอรหันต์ไม่ยอมนั่งหน้านะ...ถ้ารู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์จริง ๆ ถ้าอารมณ์เข้มปั๊บ พระอรหันต์ไม่นั่งหน้า แม้พวกนั้นบวชหนึ่งวัน พระอรหันต์บวชร้อยวัน เขาไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์ เขารู้ค่า
คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องปฏิบัติเลยอรหันต์ พระสาวกปกติบำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขย กับแสนกัปเท่านั้น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ (ใช้ปัญญาเป็นตัวนำ) ๔ อสงไขย กับแสนกัป ถ้าจิตของเขาถึงปรมัตถบารมี เขาเลยอสงไขย-สองอสงไขยมาแล้ว ต้องเป็นอสงไขยที่ ๔ จึงจะเป็นปรมัตถบารมี
พระโพธิสัตว์เหมือนพวกเรียนวิชาครู เรียนมาเพื่อเป็นครู จะต้องเข้มแข็ง ถ้าไปโดนสัทธาธิกะ (ใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ) ต้องหวด ๘ อสงไขย ถ้าวิริยาธิกะ (ใช้ความเพียรเป็นตัวนำ) ๑๖ อสงไขย
ฉันนี่วิริยาธิกะ ทำงานทุกอย่าง สบายไม่มี สาวกภูมิก็พุ่งจริตอย่างเดียว แต่สาวกภูมิสำหรับพวกฉันนี่เป็นวิริยาธิกะหมด พวกตามเป็นวิริยาธิกะ เฉพาะลูกแปดหมื่นกว่าแล้ว พวกไม่คิดเป็นกองทัพใหญ่เลย ถ้ายกมารวมกันนี่หลายแสนกองทัพนะ
พระโพธิสัตว์จริง ๆ เวลานี้มีเกือบแสนที่เต็มอัตรา เต็มอย่างพระศรีอาริย์น่ะ เต็มคอยคิว นั่งอยู่ชั้นดุสิต ปรารถนาพุทธภูมิ ยังไม่พบพระพุทธเจ้าพยากรณ์ ยังไม่ถือว่ามีคติแน่นอน ต้องพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์น่ะ มีคติแน่นอน ถ้าเป็นปัญญาธิกะต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ๔ อสงไขย กับแสนกัป สัทธาธิกะ ๘ อสงไขย กับแสนกัป วิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขย กับแสนกัป
สบายมาก... อยากเป็นไหม...?
เป็นสาวกภูมิก็พอแล้ว... รีบไปดีกว่า แต่อย่าไปขัดคอกันนะ ถ้าคนที่เขามีวิสัยพุทธภูมิอยู่ก็พูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน!
รูปปั้นพระโพธิสัตว์
ผู้ปรารถนาพุทธภูมิไม่มีความเป็นพระอริยะ มีแต่ฌานโลกีย์เพื่อคุ้มครอง จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องพิสูจน์ทุกอย่าง ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาต้องรู้หมด หมายความว่า ถ้าบารมียังต่ำขั้นฌานโลกีย์ ยังคุมไม่ถึงฌานขั้นต้น ฌานก็ไม่มั่นคง ยังมีโอกาสพลาดลงอบายภูมิ ถ้ามีบารมีเป็นอุปบารมีก็ปลอดบ้าง-ไม่ปลอดบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีนี่ปลอดหมด
กว่าจะเลื้อยแต่ละบารมีนี่...โอ้โฮ! ฉันลองดูแล้ว
สำหรับท่านที่บำเพ็ญตน ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องสร้างกำลังใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้น การก้าวเข้าสู่ฐานะพุทธภูมิจะไม่มีผล
การปรารถนาพุทธภูมิเป็นของดี แต่จะต้องทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราปฏิบัตินี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เราต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา
เขาทำกำลังใจกันแบบนี้ ..."
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
ที่มา : "พุทธภูมิและพระโพธิสัตว์" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (จาก "พ่อสอนลูก") ใน http://board.palungjit.org