- 13 ม.ค. 2560
นปช.ทรุด!!! ฤา จะสิ้นตำนาน"3เกลอ"...เวรกรรมมีจริง ไม่ป่วยหนักก็ติดคุก??(รายละเอียด)
หลังจากที่ ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภายหลังจากทนายความ ยื่นคำร้อง7ครั้ง เพื่อขอปล่อยชั่วคราวนายจตุพร จำเลยที่ 2 คดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องในความผิดฐานร่วมกับแกนนำ นปช.รวม 24 คนก่อการร้าย จากกรณีที่มีพฤติการณ์กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวของศาล ซึ่งศาลอาญามีคำสั่งให้เพิกถอนการประกันตัว เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2559
โดยคำสั่งศาลสรุปว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ระบุว่าสำนึกผิดในการกระทำของตนที่กระทำผิดข้อกำหนดและเงื่อนไขของศาลในการปล่อยชั่วคราว ขณะที่มีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรที่ยังเล็กอีก4คน อีกทั้งจำเลยป่วยติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ทางเดินปัสสาวะ มีค่าพีเอสเอในต่อมลูกหมาก โดยมีใบรับรองแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาแสดง ศาลเห็นว่าจำเลยเองถูกคุมขังมาเป็นเวลา3เดือน นับจากวันที่มีคำสั่งถอนประกัน จึงเชื่อว่าน่าจะทำให้จำเลยเข็ดหลาบจากการกระทำผิดข้อกำหนดและเงื่อนไขของศาลในการปล่อยชั่วคราว
เมื่อพิจารณาว่า จำเลยเคยได้รับการปล่อยชั่วคราวมาก่อนเช่นเดียวกับจำเลยอื่น ซึ่งจำเลยที่ 2 ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี อีกทั้งคดียังอยู่ในระหว่างสืบพยานโจทก์และจำเลยที่จะต้องสืบอีกจำนวนมาก และใช้เวลาสืบพยานนานพอสมควร ดังนั้นเมื่อศาลยังไม่ชี้ขาดตัดสินคดีว่าจำเลยมีความผิด ย่อมได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการปล่อยชั่วคราวตามกฎหมายและเพื่อให้จำเลยมีโอกาสต่อสู้คดีต่อไป
ศาลจึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายจตุพร จำเลยที่ 2 โดยมีหลักประกันเป็นเงินสดจำนวน 600,000 บาท พร้อมห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และกำชับให้จำเลยระมัดระวังอย่ากระทำผิดข้อกำหนดและเงื่อนไขอีก มิฉะนั้นจะเพิกถอนสัญญาประกัน และจะไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอีกต่อไป
และหลังจากนั้น
จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้แพร่ภาพสด ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว ภายหลังจากที่ศาลอาญาได้อนุญาตให้ประกันตัว ได้พูดเหมือนกับว่าจะยุติบทบาทประธาน นปช. โดยระบุว่า "ก่อนอื่นต้องกราบขอขอบคุณศาลอาญาอีกครั้งที่ให้โอกาส ขอบคุณพี่น้องประชาชน พี่น้องนปช. ซึ่งตนติดคุกก็เหมือนพี่น้องติด เพราะช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาที่มีความทุกข์ที่ไม่แตกต่างกัน ขอบคุณเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ปฎิบัติต่อตนดังเช่นผู้ต้องขังรายอื่นเป็นอย่างดี ขอบคุณเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้ต้องขังที่มีชะตากรรมชีวิตอยู่ในเรือนจำ ซึ่งก็ได้มอบมิตรภาพแม้ว่าหลายคนเพิ่งรู้จัก บางคนอาจจะรู้จักกันมายาวนาน แต่ในสถานที่ที่เป็นทุกข์นั้นเราเองก็มั่นให้กำลังใจกันอยู่เสมอ สำหรับตนเองนั้นหลังจากกินยาที่ทางโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปจนครบ ตนก็คงจะต้องเดินทางเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เพราะเชื้อที่ลุกลามเข้าไปนั้น จากคำวินิจฉัยของแพทย์ได้บอกว่าเชื้ออาจจะนำไปสู่การเป็นเชื้อมะเร็งได้ ตนก็จะใช้เวลาหลังจากนี้ไปเพื่อการรักษาตัว
"หลายคนมีความเป็นห่วงว่าหลังจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรต่อ ตนได้เคยบอกกับพี่น้องอยู่เสนอว่า ผมเกิดมามีสมบัติเดียว ไม่มีสมบัติพัสสถานอย่างอื่น มีอย่างเดียวคือหัวใจอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นเมื่อศาลได้ให้โอกาสและศาลได้กำชับในคำสั่งว่าจะให้โอกาสเพียงครั้งเดียว ตนเองก็จะต้องใช้ความระมัดระวังภายหลังจากที่ตนได้เข้ารับการรักษาตัวแต่มีภาระกิจในเรื่องความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ก็คงจะต้องมอบหมายให้พี่น้องนปช.ส่วนอื่นๆได้ทำหน้าที่กันไป ดังนั้นหลักใหญ่หลังจากนี้คือการรักษาตัว วันนี้เพิ่งมาถึง ชีวิตก็เหมือนพลัดหลงเข้าในพื้นที่ที่ไม่มีข่าวสารอะไร ก็จะมาสลับดับฟังให้เท่าทัน อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณพี่น้องทุกคนไกลไกล ผมติดคุกก็เหมือนพี่น้องติดไม่มีอะไรแตกต่างกัน และหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร หลังจากที่ผมได้รักษาตัวจนร่างกายเป็นปกติแข็งแรง คงจะได้พูดคุยกันอย่างระมัดระวัง เมื่อศาลได้ชี้แนะและได้เตือน ผมก็คงจะต้องมีความระมัดระวัง แต่หลักใหญ่อุดมการณ์เรื่องประชาธิปไตยนั้น เป็นสมบัติที่ติดตัวผมไปวันตาย ซึ่งผมคงจะต้องรักษาสิ่งนี้่ เพียงแต่จะต้องใช้ความระมัดระวัง ตามคำชี้แนะศาลที่ได้ให้โอกาส ขอบคุณพี่น้องทุกภาคส่วนอีกครั้ง มีโอกาสจะต้องได้พูดคุยกันในช่วง 90 วันที่ผ่านมา" นายจตุพร กล่าว
และอีกเรื่องคือ ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดีดำ อ.3531/52 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ฟ้องแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. คือ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ , นพ.เหวง โตจิราการ , นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท พร้อมพวกเป็นจำเลยฐานร่วมกันมั่วสุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง กรณีการนำแนวร่วม นปช.บุกล้อมบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อวันที่ 22 กรกฏาคม 2550
โดยจำเลยทั้ง4คนได้เดินทางมาศาลอย่างพร้อมเพรียงตามนัดในช่วงเช้า แต่ต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้เลื่อนคำพิพากษาคดีออกมาในช่วงบ่ายโดยให้เหตุผลว่าศาลอุทธรณ์ยังส่งเอกสารลงมาให้ศาลพิจารณาไม่ครบ ก่อนที่จะมีคำพิพากษาอุทธรณ์ออกมาเมื่อเวลา 15.30 น.
และผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำคุก นายวีระกานต์ , นายณัฐวุฒิ , นายวิภูแถลง นพ.เหวง คนละ 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่เป็นการลดโทษจากศาลชั้นต้นที่พิพากษาจำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน โดยศาลเห็นว่าควรปรับลดโทษให้เหมาะกับพฤติการณ์ ส่านนายนพรุฒ นายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล แกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 พิพากษายืนตามชั้นต้น
โดยก่อนหน้านี้ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน นายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล แกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 จำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ ส่วน นายวีระกานต์ , นายณัฐวุฒิ , นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4 - 7 ให้จำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ โดยกระทำความผิดเป็นหัวหน้า , ฐานเมื่อเจ้าหนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกแต่ไม่เลิก และฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานด้วย โดยจำเลยทั้งหมดได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี และได้ยกฟ้อง นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน และนายวันชัย นาพุทธา จำเลยที่ 2 – 3
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์แต่ นายวีระกานต์ จำเลยที่ 4 ไม่ได้เดินทางมาศาล โดยมอบอำนาจทนายความยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ออกไปก่อน เนื่องจากนายวีระกานต์ มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระราม 9 ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมยื่นใบรับรองแพทย์แสดง ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องประกอบใบรับรองแพทย์แล้ว ได้อนุญาตให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นวันที่ 9 ม.ค.2560
ส่วนแนวทางคำพิพากษาเดิมศาลอาญาเห็นว่าจำเลยทั้งหมดกระทำผิดตามข้อกล่าวหา คือ ในช่วงการชุมนุมเมื่อวันที่ 20-22 ก.ค. 2550 จำเลยได้มีการปราศรัยชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมมารวมตัวกันวันที่ 22 ก.ค.เพื่อเคลื่อนขบวนการชุมนุมแต่ยังปกปิดสถานที่ จนกระทั่งเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุม มารวมตัวกัน ที่สนามหลวง แกนนำนปช.ได้ปราศรัยในทิศทางเดียวกันให้กลุ่มผู้ชุมนุม เดินจากสนามหลวง ไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการชุมนุมมีเพียงแก๊สน้ำตา กระบอกและโล่
และเมื่อกลุ่มนปช.เดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เจรจาไม่ให้เคลื่อนขบวนเข้าไปที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เนื่องจากเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ปรากฎว่า นายณัฐวุฒิ จำเลยที่ 5 ได้พูดชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าแนวกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไป และให้เอารั้วเหล็กออก แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งให้เลิกแล้ว แต่จำเลยที่ 5 ยังชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าด่านสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไป โดยมีการแย่งรั้วเหล็กกั้น และผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ถอยออก แม้จะไม่ใช่การทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อมีการยื้อแย่งรั้วเหล็ก ก็ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
ส่วนจำเลยคนอื่น ๆ แม้จะอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมให้ผู้ชุมนุมรื้อรั้วกันเอง โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ขัดขวางนั้น แต่จากภาพเหตุการณ์เห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและแกนนำ นปช.ได้มีการเจรจากัน เพื่อขอไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปในบริเวณพื้นที่หวงห้ามดังกล่าว ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าแกนนำนปช.ได้ร่วมกันเป็นแกนนำ ชักชวนให้ทำ หรือไม่กระทำการใดๆ มีพฤติการณ์เป็นหัวหน้าสั่งการ ฯ , ก่อให้เกิดความวุ่นวายตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
ทั้งนี้เหตุการณ์ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาลอาญารับฟังได้ว่า ภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนตัวไปถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกนั้น เป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวาง ใช้อิฐตัวหนอน ขว้างปาเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อไม่ให้จับกุม โดยแกนนำยังได้พูดชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย
แม้พวกจำเลย จะนำสืบว่าไม่ได้พูดปลุกระดม แต่เมื่อความวุ่นวายแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามา กลุ่มผู้ชุมนุมจึงใช้วัสดุที่อยู่ใกล้ตัวมาป้องกันตัวนั้น ศาลเห็นว่าการจับกุมเป็นหน้าที่ของตำรวจสามารถจับกุมได้เมื่อเห็นการกระทำผิดซึ่งหน้า และตามหลักฐานภาพบันทึกเหตุการณ์ พบว่าพูดปราศรัยขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมแกนนำ นปช.โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมใช้เก้าอี้พลาสติกและก้อนอิฐตัวหนอน ขว้างใส่เจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่การป้องกันตัวตามที่จำเลยกล่าวอ้าง
ส่วนที่อ้างว่าการปราศรัยไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายเจ้าหน้าที่นั้น หากพิจารณาพฤติการณ์ตั้งแต่ต้นเปรียบเทียบกันแล้ว เห็นว่า คำพูดในส่วนนี้พูดปนกับเร้าให้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้มีเจตนาห้ามปรามอย่างจริงจัง และแม้0tไม่ได้ลงมือเอง แต่ได้ปราศรัยข้อความชักชวน ย่อมถือว่ามีความผิดฐานยุยงให้ผู้อื่นต่อสู้ขัดขวาง
ส่วนนายนพรุจ หรือ นพรุฒ วรชิตวุฒิกุล มีเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติการจับกุม เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ใช้อิฐขวางใส่เจ้าหน้าที่และใช้ไม้เสาธงปัดแกว่งไปมา ระหว่างที่ดึงตัวลงจากรถ พร้อมใช้เข่ากระแทกใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนมือขวาหัก จึงฟังได้ว่ามีการกระทำผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจริงตามคำร้อง
เร็วๆนี้น่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนแน่นอนว่า ถ้าแกนนำทั้งหมดที่กล่าวมาถูกรับโทษจำคุก ก็จะเป็นการจบบทบาทของ 3 เกลอ นปช.
จตุพร พรหมพันธุ์
วีระกานต์ มุสิกพงศ์
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
แล้วเราต้องจับตากันต่อไปว่า ใครจะเป็นคนต่อไปที่จะมารับบทบาทนี้ต่อไป
เมื่อย้อนกลับไปดูข้อมูลจุดเริ่มต้นของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โดยข้อเท็จจริงแล้วเป็นการแปรสภาพมาจาก แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. ซึ่งรวมตัวก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2550 และมีวัตถุประสงค์สำคัญในการ ต่อต้านรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และขับไล่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กับ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่นานนักก็ยุติการชุมนุมเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550 หลังจากที่พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
แต่พอเปลี่ยนยุคสมัยรัฐบาลจากพรรคพลังประชาชนมาเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มแนวแนวร่วมนปช.ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง โดยเฉพาะการจัดชุมนุมเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552 จนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2552 หรือที่หลายคนเรียกสงกรานต์เลือด
เพราะมีการปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศ ให้ออกมารวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และมีการพาดพิงไปถึงองคมนตรี ว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 2549 โดยนายทักษิณ ชินวัตร และแกนนำนปช.ที่มีนายวีระ มุกสิกพงศ์ ทำหน้าที่เป็นประธานนปช.
ส่วนโครงสร้างที่เรียกว่าแกนนำประกอบด้วย
มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ - ที่ปรึกษา
วีระ มุสิกพงศ์ - ประธาน นปช.
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - เลขาธิการและโฆษก
จตุพร พรหมพันธุ์ - กรรมการ
นายแพทย์เหวง โตจิราการ - กรรมการ
ชินวัฒน์ หาบุญพาด - กรรมการ
อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง - กรรมการ
พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล - กรรมการ
แต่โครงสร้างดังกล่าวมีการปรับเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อแนวร่วมนปช.เคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งในปี 2553 เพื่อยกระดับขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยการใช้พื้นที่แยกราชประสงค์เป็นศูนย์กลางการชุมนุม และมีการเคลื่อนไหวโดยกลุ่มขบวนการติดอาวุธออกสร้างความวุ่นวายไปทั่วกรุงเทพฯ จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต ไม่เว้นแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จนทหารต้องออกปฏิบัติการหยุดยั้งความรุนแรงที่กำลังขยายวงกว้าง
ส่งผลทำให้แกนนำอย่างคนสำคัญ ๆ อย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฯลฯ เลือกยุติการชุมนุมแล้วเข้ามอบตัว หลังจากสถานการณ์การชุมนุมสุกงอมเต็มที่เพราะมีการปลุกระดมให้เกิดความคิดรุนแรงถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง
และการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นก็ทำให้ตำแหน่งรักษาการประธานนปช. ตกมาอยู่ที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ซึ่งขณะนั้นมีส่วนสำคัญในการเคลื่อนไหวความคิดทางการเมือง หรือ การต่อสู้ทางชนชั้นกับมวลชนคนเสื้อแดงผ่านโรงเรียนนปช.
แต่ก็ทำหน้าที่ได้ระยะหนึ่ง เพราะเมื่อสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของ นายจตุพร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106(4) ประกอบกับมาตรา 101(3) รวมถึงสิ้นสุดความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในเดือนพฤษภาคม 2555 นายจตุพรก็ย้อนเข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานนปช.ต่อจากนางธิดา ถาวรเศรษฐ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นที่สงสัยว่านายจตุพรยังจะทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ และที่อ้างว่าต้องการพักรักษาตัวเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญถ้าไม่ใช่นายจตุพร แล้วจะเป็นใคร ???
Jirasak Tnews