- 09 ก.พ. 2560
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ดำเนินการส่งสาส์นถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน โดยมีสาระสำคัญคือ
สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้รายงานข่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ดำเนินการส่งสาส์นถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน โดยมีสาระสำคัญคือการขอบคุณต่อการที่ผู้นำจีนแสดงความยินดี ต่อการรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ใช้โอกาสเดียวกันนี้ ส่งคำอวยพรปีใหม่แก่ชาวจีนเนื่องในโอกาสวันตรุษจีน พร้อมทั้งแสดงความหวังในการ ฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ กับจีนด้วย
ในขณะที่ ล่าสุดนั้น กระทรวงการต่างประเทศ ของจีน ยังไม่แสดงท่าทีต่อสาส์นฉบับดังกล่าวของผู้นำสหรัฐฯ โดยเคยเผยว่าทั้งสองประเทศ ติดต่อกันอย่างใกล้ชิด แต่ในรายชื่อผู้นำรัฐบาลที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สนทนาทางโทรศัพท์ด้วยตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว ยังไม่ปรากฏชื่อของผู้นำจีน ท่ามกลางการจับตาอย่างใกล้ชิดของทุกฝ่าย เกี่ยวกับทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก ว่าจะเป็นไปในแบบใด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โจมตีจีนมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องของการทำการค้า การลงทุน ขนาดที่นักวิจารณ์ นั้นเกรงว่า ทั้งสองจะสู้กันด้วยสงครามการค้า
ปฎิกริยาล่าสุดของทางจีนนั้น นายหวัง อี้ รัฐมนตรี ต่างประเทศของจีน ได้ พูดถึงสหรัฐฯ ว่าจะต้องทบทวนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทะเลจีนใต้เสียใหม่ เนื่องจากข้อตกลงจากสงครามโลกครั้งที่สองกำหนดว่า ทุกอาณาเขตของจีนที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองต้องถูกส่งคืนให้แก่จีน ซึ่งการพูดครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากขณะนี้จีนไม่พอใจอย่างมากกับความคิดเห็นก่อนหน้านี้จากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการพิพาทในบริเวณทะเลจีนใต้ จากการพิจารณาคุณสมบัติของวุฒิสภา รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เรกซ์ ทิลเลอร์สัน กล่าวว่า จีนไม่ควรถูกปล่อยให้เข้าถึงหมู่เกาะที่พวกเขาสร้างขึ้นที่นั่น นอกจากนั้นแล้วยังประกาศด้วยว่าจะปกป้องอาณาเขตสากล ในน่านน้ำยุทธศาสตร์นี้
แต่อย่างไรก็ตามทางด้าน พล.อ.เจมส์ แมตทิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ได้พูดในการเยือนญี่ปุ่นว่า การทูตควรเป็นตัวเลือกอันดับแรกในการแก้ปัญหาทะเลจีนใต้
ในปฏิญญาไคโรปี 1943 และปฏิญญาปอตสดัมปี 1945 ระบุอย่างชัดเจนว่า ญี่ปุ่นต้องคืนอาณาเขตที่ยึดจากจีนทั้งหมดคืนแก่จีน ในปี 1946 รัฐบาลจีนในตอนนั้นด้วยช่วยเหลือจากสหรัฐฯ อย่างเปิดเผยและเป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวได้ยึดหมู่เกาะหนันชา หรือหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ รวมถึงแนวปะการังที่ญี่ปุ่นยึดครองกลับคืนมาและเริ่มการใช้อำนาจอธิปไตยอีกครั้ง หลังจากนั้น บางประเทศโดยรอบใช้วิธีการผิดกฎหมายเพื่อยึดครองบางส่วนของหมู่เกาะหนันชาและแนวปะการัง และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดข้อพิพาททะเลจีนใต้
จีนมีความตั้งใจที่จะเจรจากับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงและตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อคลี่คลายปัญหานี้อย่างสันติ และจุดยืนดังกล่าวจะไม่เปลี่ยนแปลง ประเทศนอกภูมิภาคนี้ควรสนับสนุนความพยายามของจีนและประเทศอื่นในภูมิภาคเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของทะเลจีนใต้ ไม่ใช่การต่อต้าน ซึ่งการกล่าวดังกล่าวนั้น นายหวัง อี้ อาจจะไม่ได้พูดถึงสหรัฐฯ โดยตรง แต่ ก็สื่อความหมายไปในทิศทางที่ทำให้ผู้ฟังนั้น ทราบได้ว่าคือสหรัฐฯ
นอกจากนั้นแล้ว นายหวัง อี้ ยังได้กล่าวต่ออีกว่า จีนตั้งความหวังไว้สูงกับความคิดเห็นของ พล.อ.เจมส์ แมตทิส ที่เน้นย้ำถึงความพยายามทางการทูตในทะเลจีนใต้ เนื่องจากนี่ไม่ได้เป็นเพียงจุดยืนของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นแต่ยังเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับประเทศนอกภูมิภาคด้วย
จีนอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด ในขณะที่ไต้หวัน มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และบรูไนอ้างสิทธิเหนือบางส่วนของน่านน้ำนี้ที่ควบคุมเส้นทางทะเลยุทศาสตร์หลายเส้นและมีพื้นที่ประมงอันอุดมสมบูรณ์พร้อมกับแหล่งสะสมก๊าซและน้ำมัน จีนนั้นอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด และเดินหน้าถมแนวปะการังสร้างเกาะเทียม มาขึ้นหลายเกาะพร้อมกับทำลานบินให้เครื่องบินทหารขึ้นลงได้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากพวกชาติเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยืนยันอ้างอธิปไตยของตนในบางส่วนของน่านน้ำสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้เช่นเดียวกัน
เกาะเทียมเหล่านั้นกลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งหลังจากเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวในระหว่างให้ปากคำต่อวุฒิสภาเมื่อกล่าวเดือนที่แล้วว่า จะต้องสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงเกาะเทียมเหล่านี้ ซึ่งตั้งอยู่ในน่านน้ำระหว่างประเทศ จนทำให้มองกันว่านี่เป็นการส่งสัญญาณการเผชิญหน้าทางทหาร ต่อมา ฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว ยังแถลงสำทับว่า อเมริกาจะปกป้อง น่านน้ำสากล ในทะเลจีนใต้
นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างที่เขาเยือนออสเตรเลียว่า สงครามไม่เป็นผลดีต่อใครเลย และว่า ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ได้ฝ่าฟันปัญหามาแล้วทุกรูปแบบตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อเมริกาควรไปศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทะเลจีนใต้เพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อตกลงเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2
รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนย้ำว่า จีนมุ่งมั่นในการเจรจากับประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยอิงกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ และจุดยืนนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคสนับสนุนความพยายามของจีนและชาติอื่นๆ ในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้
ขณะที่ มีการเผยแพร่รายงานจากการประชุมเฉพาะกิจของผู้เชี่ยวชาญที่จัดโดยสมาคมเอเชีย (เอเชีย โซไซตี้) และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานดิเอโก โดยเนื้อหาสำคัญของรายงานฉบับนี้เตือนว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ควรยกเลิกนโยบายจีนเดียว ตามที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีเอาไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนเข้ารับตำแหน่งว่า อาจใช้นโยบายนี้มาเป็นเครื่องมือสำหรับต่อรองทางการค้า รายงานนั้นได้ระบุว่า ความสัมพันธ์จีน-อเมริกามาถึงทางแยกอันตรายที่สองมหาอำนาจอาจมีแนวทางการดำเนินการที่นำไปสู่ความขัดแย้ง พร้อมระบุถึงบรรยากาศการเป็นปฏิปักษ์ที่คุกรุ่นมากขึ้นในขณะที่จีนอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้อย่างก้าวร้าว
การประชุมอันเป็นที่มาของรายงานฉบับนี้เป็นการหารือของผู้เชี่ยวชาญซึ่งรวมถึงพวกอดีตเจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานให้คณะบริหารทั้งของพรรครีพับลิกัน และ เดโมแครต รายงานเตือนว่า คณะบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ควรระลึกถึงบทเรียนในอดีต และว่า การยกเลิกนโยบายจีนเดียว ซึ่งเป็นพื้นฐานความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ มานานเกือบสี่ทศวรรษ เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นการบ่อนทำลายสถานะของอเมริกาในเอเชีย ประเทศอื่นๆ ในเอเชียคงไม่เห็นด้วยที่อเมริกายกเลิกนโยบายดังกล่าวและหันไปคบหากับไต้หวันออกหน้าออกตา และประเทศเหล่านั้นก็คงไม่อยากเดินตามอเมริกาเข้าสู่การสู้รบกับจีนจากกรณีไต้หวัน
เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์