- 10 ก.พ. 2560
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ศาลปกครอง มีคำสั่งยกคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวกรวม 5 คน (ผู้ฟ้องคดี) กับนายกรัฐมนตรีกับพวก รวม 4 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ศาลจะมีอำนาจออกคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทในระหว่างพิจารณาคดีได้นั้นต้องครบเงื่อนไขตามกฎหมายทั้ง 3 ประการ คือ 1.คำสั่งพิพาทน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2. การให้คำสั่งพิพาทมีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง และ 3.การทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือบริการสาธารณะ
คดีนี้ผู้ฟ้องทั้ง 5 ฟ้องว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทางราชการ กรรีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการระบายข้าวจากโครงการดังกล่าวด้วยวิธีการค้าข้าวระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล (G to G) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โดยผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 มีคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
โดยเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาแล้ว เห็นว่า ภายหลัง จากผู้ถูกฟ้องคดีออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้ง 5และผู้ถูกฟ้องคดีให้ถ้อยคำต่อศาลรับกันว่า นอกจากหนังสือแจ้งเตือนดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึด หรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 และขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด
ในชั้นนี้ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า คำสั่งพิพาทน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า คำสั่งพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการนั้น เป็นประเด็นในเนื้อหาของคดีที่ศาลจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป และเมื่อผู้ถูกฟ้องคดียังไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองในชั่นนี้จึงรับฟังไม่ได้ว่า หากศาลไม่มีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างในคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทของผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 จึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
"ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดี"
ถือเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองสำหรับวันนี้ ( 10 ก.พ.) สำหรับการที่ศาลปกครองกลางได้นัดอ่านคำสั่งในคดีคดีหมายเลขดำที่ 1861/2559 ที่นายบุญทรง ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน ในกรณีมีคำสั่งที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 ก.ย .ให้นายบุญทรงชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามรายละเอียดซึ่งระบุว่าขณะที่นายบุญทรงดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ได้อาศัยโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี
รวมถึงคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 1873/2559 ที่นายภูมิ สาระผล ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน กรณีมีคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ที่ 240/2558 ลงวันที่ 3 เม.ย. 2558 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และคำสั่ง ที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2559 ให้นายภูมิชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามรายละเอียดซึ่งระบุว่าเมื่อครั้งที่นายภูมิดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
ทั้งนี้ในคดีดังกล่าวนายบุญทรงและนายภูมิได้ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโดยสั่งระงับคำสั่งที่ให้นายบุญทรงและนายภูมิชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาคดี โดยก่อนหน้านี้ศาลได้นัดไต่สวนเพื่อพิจารณาว่าจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ และพิจารณาคำขอจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวตามที่บุคคลทั้งสองยื่นขอไปแล้ว
ประเด็นนี้มีจุดสำคัญ 2-3 จุด ต้องพิจารณาประกอบการพิจารณาของศาลปกครองก็ คือ
1. ศาลปกครองจะเห็นชอบตามคำร้องของนายบุญทรงและ / หรือ นายภูมิ หรือไม่ เพราะถ้าเห็นว่าคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นคำสั่งที่มิชอบ การพิจารณาใช้คำสั่งทางปกครองดำเนินให้ผู้เกี่ยวข้องการขายข้าวจีทูจีก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
2.กรณีศาลวินิจฉัยนยกคำร้องของนายบุญทรง และ นายภูมิ โดยเห็นว่าคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย กระบวนการพิจารณาชดใช้ค่าเสียหายทางปกครองก็จะเดินหน้าต่อไป
และ 3.ในส่วนคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ศาลปกครองกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว หรือ ขอให้ศาลทุเลาการบังคับคำสั่ง กรณีนี้ถ้าศาลเห็นว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องทุเลาคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ทางกระทรวงพาณิชย์และรวมถึงกรมบังคับคดีก็จะดำเนินการใช้คำสั่งทางปกครองได้ทันทีอีกเช่นกัน
ทั้งนี้ตามคำสั่งทางปกครองฯ ระบุมูลค่าความเสียหายที่ นายบุญทรงและพวกจากการละเมิดระบายข้าวจีทูจีทำให้เกิดความเสียหายไว้ดังนี้
1.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ มูลค่าชดใช้ค่าเสียหาย 1,770 ล้านบาท
2.นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ 2,300 ล้านบาท
3.พ.ต.ท.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการรมว.พาณิชย์
4.นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
5.นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
และ 6.นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ชดใช้ค่าเสียหายคนละ 4,000 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้ นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ได้ส่งหนังสือบังคับทางปกครองไปยังกรมบังคับคดี เพื่อให้ดำเนินการเรียกค่าเสียหายกรณีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี 4 สัญญา ปริมาณ 6.2 ล้านตัน มูลค่าความเสียหาย 2 หมื่นล้านบาท กับนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 6 ราย ตามขั้นตอนเสร็จสิ้นแล้ว
แต่เนื่องจากนักการเมืองและข้าราชการทั้ง 6 ราย ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่งบังคับทางปกครองชดใช้ค่าเสียหายจีทูจีข้าว และขอให้ทุเลาการบังคับคดีดังกล่าว จึงต้องติดตามผลการวินิจฉัยของศาลปกครองว่า เมื่อพิจารณาแล้วจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดีหรือไม่ โดยถ้ามีการสั่งทุเลาการดำเนินการดังกล่าวก็จะหยุดไว้ก่อน เพื่อรอการพิจารณาทางคดีของศาลปกครอง แต่หากศาลมีคำสั่งไม่ทุเลา ทางกรมบังคับคดี จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนการบังคับทางปกครอง เพื่อยึดทรัพย์กับบุคคลที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อไป
ล่าสุดนายบุญทรง ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มอบหมายให้ทนายความเดินทางไปฟังคำสั่งศาล ซึ่งหากศาลไม่มีคำสั่งทุเลาคำสั่งบังคับทางปกครองดังกล่าว ก็ต้องขึ้นอยู่กับหน่วยงานรัฐที่ได้รับความเสียหาย จะเรียกค่าเสียหายกับตนเองเมื่อใด และเมื่อถึงเวลานั้น ตนเองอาจจะยื่นคำร้องฉุกเฉินต่อศาล เพื่อขอให้ศาลพิจารณาสั่งทุเลาการเรียกใช้ค่าสินไหมทดแทนอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ตนเองไม่อยากคาดเดาอะไร
อย่างไรก็ตามคำสั่งศาลที่จะมีออกมาในวันนี้ ไม่ว่าจะออกมาในทางใดก็มีความน่าสนใจ เพราะในศาลปกครองกลาง ยังมีคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี-รมว.คลัง-รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 กรณี ขอเพิกถอนคำสั่ง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 59 ที่ ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ปล่อยให้เกิดทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังเกิดความเสียหาย มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ ซึ่ง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ขอให้ศาลกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา คือให้ทุเลาการบังคับใช้คำสั่งเรียกให้ชดใช้ไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาและศาลได้เรียกไต่สวนไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา
เรียบเรียง บุญชัย



