- 11 ก.พ. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th
แม้กระแสข่าวจะให้น้ำหนักไปในเรื่องคำสั่งศาลปกครองยกคำร้องของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ แต่ในเชิงข้อกฎหมายทำให้เห็นชัดในระดับสำคัญว่าหน่วยราชการทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ กรมบังคับคดี มีแนวทางปฏิบัติที่มีช่องโหว่ทำให้การดำเนินการในเรื่องนี้อาจยืดยาวเกินกว่าที่คาดไว้ ???
ทั้งนี้จากรายละเอียดคำสั่งศาลปกครอง โดย น.ส.ผึ้งรวง ประเสริฐพานิชการ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนและองค์คณะรวม 6 คน ระบุว่าศาลปกครองมีคำสั่งยกคำร้องของ นายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในฐานะจำเลยคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ร่วมกับนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายอัฐฐิติพงศ์ หรือ อัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และนายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผู้ช่วยเลขานุการ ในคณะทำงานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 ก.ย.59 เรื่องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับกระทรวงพาณิชย์ในส่วนของนายบุญทรง เป็นเงินจำนวน 1,768,973,012.66 บาท , นายภูมิ จำนวน 2,242,571,739.68 บาท และนายมนัส , นายอัฐฐิติพงศ์ , นายทิฆัมพร เป็นเงินจำนวนรายละ 4,011,544,752.33 บาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จากกรณีจงใจกระทำละเมิดให้ราชการเสียหาย จากการนำข้าวตามสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐมาเวียนขายให้ผู้ประกอบการค้าข้าวภายในประเทศ
โดยศาลปกครองกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ผู้ถูกร้องที่ 1-2 ร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลงวันที่ 3 เม.ย.58 ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กรณีป.ป.ช.แจ้งว่าได้รับเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือทุจริตต่อหน้าที่ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ
จากนั้นได้มีการเชิญกลุ่มผู้ฟ้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการฯ แล้ว ต่อมากระทรวงพาณิชย์ได้ส่งรายงานผลการสอบสวนไปยังกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องที่ 4 แล้ว เมื่อวันที่ 25 เม.ย.59 กระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องที่ 4 แจ้งผลให้รมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ทราบว่าความเสียหายที่เกิดจากการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ จำนวน 4 สัญญา มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง 6 คน รวมถึงผู้ฟ้องด้วย ซึ่งต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมชดแทนตามสัดส่วนของตน กระทั่งวันที่ 6 ก.ค.59 รายงานความเห็นของกระทรวงการคลังให้นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ทราบ เพื่อออกคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ทั้ง 6 คนชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยมีรมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ลงนามในคำสั่งแทน และในวันที่ 16 ก.ย.59 ได้มีหนังสือมอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 3 ลงนามในคำสั่งแทน กระทั่งผู้ถูกฟ้องที่ 3 ในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทนรมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ออกคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ 453/2559 เรื่องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กระทรวงพาณิชย์ภายใน 30 วัน นับแต่วันวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
และเมื่อ ผู้ถูกฟ้องที่ 2-3 ได้มีหนังสือลงวันที่ 15 พ.ย.2559 แจ้งเตือนให้ผู้ฟ้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากพ้นเวลาที่กำหนดแล้วยังไม่ชดใช้ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องแล้วขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วนตามจำนวนต่อไป
จากการไต่สวนของศาลคู่กรณีของ 2 ฝ่าย ให้ถ้อยคำรับกันว่านอกจากหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองแก่ผู้ฟ้องคดี ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าคำสั่งกระทรวงพาณิชย์น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และที่กลุ่มผู้ฟ้องอ้างว่าคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการก็เป็นประเด็นในเนื้อหาของคดีที่ศาลต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไป ส่วนหนังสือกระทรวงพาณิชย์ลงวันที่ 15 พ.ย.2559 ที่แจ้งว่าหากพ้นกำหนดแล้วยังไม่ชดใช้ค่าสินไหม เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาดนั้น หนังสือฉบับดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือเตือนให้ชำระเงินตามคำสั่ง ซึ่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 57 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ผู้ใดชำระเงิน ถ้าถึงกำหนดแล้วไม่มีการชำระโดยถูกต้องครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือเตือนให้ผู้นั้นชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดไม่น้อยกว่า 7 วัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคำเตือน เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครอง
กรณีนี้จึงยังไม่ใช่การใช้มาตรการโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระ อีกทั้งในชั้นนี้ยังรับฟังไม่ได้ว่า ถ้าศาลไม่มีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงพาณิชย์แล้วจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่กลุ่มผู้ฟ้องที่จะยากต่อการเยียวยาแก้ไขในภายหลัง
ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามคำขอของกลุ่มผู้ฟ้อง จึงมีคำสั่งให้ยกคำขอในส่วนนี้ของผู้ฟ้อง
ขณะเดียวกันผลจากคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว ทางด้านนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พิษณุโลก ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นในประเด็นกล่าวว่า “ เมื่อศาลปกครองมีคำสั่งออกมา โดยศาลปกครอง ยกคำร้อง นายบุญทรง- นายภูมิ และคณะรวม 6คน ที่ขอคุ้มครองชั่วคราวจ่ายค่าสินไหมคดีระบายข้าวจีทูจี โดยศาลระบุ การบังคับคดียังไม่เกิดขึ้นทำให้ไม่ต้องคุ้มครอง เท่ากับว่าจากนี้ไปกระบวนการยึดทรัพย์นายบุญทรงและพวก ก็จะดำเนินการตามขั้นตอน และถือว่าต้องดำเนินการได้เลยโดยกรมบังคับคดี
แต่หากมีการเริ่มดำเนินการยึดทรัพย์ นายบุญทรงและพวกก็สามารถร้องต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองได้อีกสิ่งที่ต้องเข้าใจนั่นคือ กระบวนการนี้เป็นเรื่องของการคุ้มครองชั่วคราว แต่กระบวนการร้องศาลปกครองของนายบุญทรงและคณะ ให้ยกเลิกคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยฝ่ายบริหารยังอยู่ในขั้นพิจารณาโดยศาล ซึ่งเป็นการตัดสิ้นชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย
ก่อนหน้านั้น น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ระบุภายหลังได้รับหนังสือบังคับคดีทางปกครองจากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้กรมบังคับคดี ดำเนินการกรณีการขายข้าวรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) กับนักการเมืองและอดีตข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้ง 6 ราย ว่า ตนได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาเรื่องการเรียกค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว รวมถึงได้ประสานการทำงานร่วมกับ นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าคำวินิจฉัยของศาลปกครอง เนื่องจากกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้เสียหายและเป็นโจทก์ฟ้องในคดีแพ่ง กรมการค้าต่างประเทศจึงต้องเป็นผู้นำชี้ทรัพย์ ??
เรียบเรียง : นิตติยา สำนักข่าวทีนิวส์