ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น "กูรูจี" ของชาวอินเดีย.."เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!"

ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://www.tnews.co.th

วันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดแสดงธรรม "จิตภาวนา....เมตตาเจโตวิมุตติ" โดยหลวงพ่อพระอาจารย์อารยวังโส เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย จ.ลำพูน จัดโดย ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ณ ห้องป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย เวลา 16:30 น.

 

ทางทีมข่าวทีนิวส์ จึงมีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์พูดคุยกับพระอาจารย์อารายวังโส ก่อนเริ่มต้นกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเด็นการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศอินเดีย ภายใต้เจตนารมณ์ของพระอาจารย์อารยวังโส ที่ต้องการนำศาสนาพุทธกลับคืนสู่ดินมาตุภูมิ ดังที่ท่านได้กล่าวไว้กับทางทีมข่าวว่า

 

“การเผยแพร่พุทธศาสนานั้นไม่ใช่ว่าจะเผยแพร่ได้แค่เฉพาะในอินเดียเท่านั้น เพียงแต่ประเทศอินเดียเป็นเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญ เพราะศาสนาพุทธเกิดขึ้นที่นี่ จึงถือเป็นดินแดนที่เป็นจุดเริ่มต้น อีกทั้งพระพุทธศาสนาสมควรจะได้กลับคืนสู่ประเทศแม่อย่างมีเอกภาพ... ถึงจะพูดได้เต็มปากว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาเอกของโลกจริงๆ”

 

ด้วยคุณูประการของพระอาจารย์อารยวังโส ท่านได้ทำภารกิจทางพุทธศาสนาอย่างแข็งขันและต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีติดต่อกันอย่างไม่ย่อท้อ

ซึ่งผลงานมากมาย ที่ท่านได้ฟื้นฟูเผยแพร่พุทธศาสนาที่กล่าวมานั้น เป็นสาเหตุประการสำคัญ ที่ทำให้พระอาจารย์เป็นที่เคารพรักอย่างสูง จนกระทั่งได้รับการยอมรับให้เป็น “กูรูจี” ของชาวพุทธและชาวฮินดู ในประเทศอินเดีย

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น \"กูรูจี\" ของชาวอินเดีย..\"เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!\"

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น \"กูรูจี\" ของชาวอินเดีย..\"เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!\" (พระอาจารย์อารยวังโส กับท่านฑูตอินเดีย ท่านภควันต สิงห พิศโนอี H.E. Mr. BHAGWANT SINGH BISHNOI เมื่อวันที่ 4 เมษายน 60)

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น \"กูรูจี\" ของชาวอินเดีย..\"เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!\"

นอกจากนี้ พระอาจารย์ยังได้รับ “สิทธิ์พิเศษเฉพาะบุคคล” ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการยอมรับ ที่ชาวอินเดียมอบให้ท่านในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

...นั่นคือการที่ท่านได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ฟื้นฟูสวนป่าเวฬุวัน และสามารถพักจำพรรษาที่สวนป่านั้นได้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อทำงานสืบทอดพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งพระอาจารย์ยังได้จัดงานสำคัญ อย่างงาน “มาฆะบูชา” ณ สวนป่าเวฬุวัน และขยายไปยังสถานที่อื่นๆ ในอินเดียอีก จนกลายเป็นงานประจำปีในปีต่อๆ มา  

 

โดยพระอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

 

“พื้นที่สวนป่าเวฬุวันที่ได้เข้าไปทำการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่นั้น โดยทางกฎหมายแล้วอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งอันที่จริงในทางกฏหมายเราไม่มีสิทธิ์ใดๆ เลย เพราะเป็นสถานที่ที่เป็นเขตหวงห้ามของทางรัฐบาล ว่ากันตามกฎหมายรัฐบาลอินเดียไม่สามารถเข้ามาสนับสนุนและอุปถัมภ์ได้เลย แต่ที่สุดแล้วก็ได้รับความเอื้อเฟื้อจากรัฐบาลและพนักงานจากรัฐในหลายๆหน่วยงานเป็นอย่างมาก รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ด้วย จนสามารถเข้าไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างที่ตั้งใจในที่สุด

ตลอดจนรวมไปถึง การจะเข้าออกในประเทศอินเดีย ก็มีสถานฑูตดูแล อำนวยความสะดวกให้มากที่สุดเท่าที่เขาสามารถจะช่วยได้”

…………………………………………..

 

เมื่อทีมข่าวถามถึงเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา และประเพณีที่ชาวอินเดียนับถือประพฤติกันอยู่นั้น ทำให้เกิดอุปสรรคต่อพระอาจารย์ในการเผยแพร่ธรรมะในพุทธศาสนา มากน้อยเพียงใด... พระอาจารย์ก็ได้เมตตาตอบว่า

 

“เรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคเลย เพราะการเข้าไปพูดคุยเรื่องศาสนานั้น เราไม่ได้พูดถึงเรื่องความเชื่อ ลัทธินะ แต่พูดไปในเรื่องของจิตวิญญาณ ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถสร้างจิตวิญญาณ ให้กับพระพุทธศาสนาไปประดับไว้ในจิตใจของชาวโลกได้

 

พุทธศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องเพียงของศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ ความศรัทธา แต่เป็นเรื่องธรรมะที่เป็นหลักของธรรมชาติแห่งสากล ซึ่งเป็นสาระเดียวกันในระดับโลก

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น \"กูรูจี\" ของชาวอินเดีย..\"เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!\"

ยิ่งปัจจุบัน พุทธศาสนานั้นไปได้ไกลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะผู้คนสนใจเรื่องจิตวิญญาณกันมาก มีการเข้าถึงจิตใจผู้คนได้ในหลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่จะทำให้พุทธศาสนาเข้าถึงทุกๆ จิตวิญญาณได้อย่างกว้างขวางนั้น ขึ้นอยู่กับการสื่อสารและความประพฤติของ “ผู้นำ” ที่นำพุทธศาสนาเข้าไปสู่กลุ่มคน หรือชุมชน

ที่สำคัญ พุทธศาสนานั้น ไม่ใช่เรื่องเทคนิคทางโลก แต่เป็นเทคนิคทางธรรมะ ซึ่ง“เทคนิคทางธรรมะ” นั้นก็คือ กระบวนการที่สอดคล้องกันของการสั่งสอนและการสื่อสาร ซึ่งมุ้งเน้นไปที่การลงมือปฏิบัติที่จริงจัง

 

ดังนั้น เรื่องวัฒนธรรมของชาวอินเดีย จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเผยแพร่พุทธศาสนาเลย เนื่องจากทันทีที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศธรรมจนพุทธศาสนาเผยแพร่อย่างกว้างขวางในชมพูทวีป สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านประกาศออกไปไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ ลัทธิ วัฒนธรรมแต่เป็นเรื่องของธรรมชาติของจิตวิญญาณ

 

... มนุษย์จะอยู่ตรงไหนก็ได้ เพียงแค่เข้าใจความจริง อยู่อย่างมีความรู้ รู้ในความเหมาะ ความควร รู้กาลเทศะ รู้จักใช้ประโยชน์แห่งชีวิตพัฒนาตนเองไปให้ยิ่งขึ้นถึงสิ่งที่สูงสุด บนเส้นทางของชีวิตที่มีบนโลกในขณะนั้น

 ... นั่นล่ะ  พุทธศาสนาอยู่ตรงนั้น...

เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาที่แท้จริง ไม่ได้มีไว้เพื่อแข่งขันกับใคร ไม่ใช่คู่แข่งของฮินดู ไม่ใช่คู่แข่งของเชน ไม่แข่งกับศาสนาหรือลัทธิอื่นใด

 

ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์เอง ก็เคยเทศนาและตอบปัญหาธรรม ให้ผู้ศรัทธาเชนได้ฟัง ... ท้ายที่สุดเหล่าผู้ศรัทธาของเชนก็แสดงเจตจำนงค์สร้างวัดถวาย โดยมีที่ดินที่เตรียมจะถวายถึง 2 แห่ง ซึ่งไม่จำเป็นเลยที่ผู้ศรัทธาศาสนาเชนเหล่านั้นจะต้องเปลี่ยนศาสนาเดิมที่ตนนับถืออยู่ เราไม่ได้ตั้งใจไปแข่งขัน ไม่ได้ตั้งใจให้ใครต้องเปลี่ยนศาสนา เพียงแต่ต่อยอดจากของเดิมที่ดีอยู่แล้ว ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ให้สิ่งที่มีอยู่ได้พัฒนาไปจนถึงจุดที่ดีที่สุด

 

โดยเฉพาะคนอินเดีย มีพื้นฐานความเข้าใจและความสนใจในเรื่องจิตวิญญาณที่ค่อนข้างดี ไม่ใช่ว่าจู่ๆจะไปชักจูงเขาได้ว่าศาสนาพุทธดีเป็นแบบนี้ๆ

พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานหลักปรัชญาอยู่แล้ว ให้ความสำคัญกับเรื่องทางจิตวิญญาณสูงมาก ฉะนั้นเราจะเห็นว่าชาวอินเดียไม่ว่าจะเป็นเชน หรือฮินดู ต่างก็สนใจในหลักวิปัสสนากันมาก และวิปัสสนานั้นก็คือเรื่องของสติปัฏฐาน4 ในพุทธศาสนานั่นเอง

นี่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับพุทธศาสนาไปโดยปริยาย และโดยพื้นฐานของชาวอินเดียเขาก็ยอมรับอยู่แล้วว่า  “วิปัสสนา” คือหลักขั้นสูงสุดยอดของการพัฒนาจิต”

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น \"กูรูจี\" ของชาวอินเดีย..\"เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!\"

...................................................................................

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น \"กูรูจี\" ของชาวอินเดีย..\"เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!\"

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น \"กูรูจี\" ของชาวอินเดีย..\"เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!\"

(อาตมาอยู่กับพวกเขา ฉันข้าวของพวกเขา ... อวยพรให้พวกเขามีสุข หายเจ็บหายไข้ ปราศจากอุปสรรคอันตราย พวกเขาจึงรู้สึกว่าอาตมาเป็นกูรูจี ของพวกเขา โดยไม่มีการแบ่งแยกศาสนา สิ่งเหล่านี้เกิดจากความรู้สึก เป็นเรื่องไม่มีรูปแบบ เงื่อนไขใดๆมาบังคับกำหนด)

 

เมื่อวัฒนธรรมและศาสนาไม่ใช่สิ่งกีดขวางในการเข้าถึงหลักธรรม กระนั้นก็ใช่ว่าการเผยแพร่ฟื้นฟูพุทธศาสนาในประเทศอินเดียจะราบเรียบไร้อุปสรรค ในทางกลับกัน พระอาจารย์กล่าวถึงอุปสรรคในภารกิจในต่างแดนว่า

  

“อุปสรรคนั้นมีอยู่ตลอดทาง แต่สิ่งที่ผลักดันให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ ก็เพราะทำไปเพราะ “อำนาจธรรม”  ซึ่งทำให้ทุกสิ่งสำเร็จผล

 

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปจำพรรษาในที่ต่างๆ การเดินทางไกล การเข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการต่างๆ นั้น มีอยู่ตลอดทาง  ไม่ว่าจะเป็น คณะบุคคลทั้งหลาย หรือคณะภิกษุที่ทำผิดวินัยแสวงหาลาภสักการะทั้งหลาย ที่ประเดประดังเข้าไปในอินเดียมากมายก่ายกอง

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผู้นำพุทธศาสนานำเข้าไปไม่ตรงจุด หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน เพราะบางทีเราไปสร้างวัด ไปแสวงบุญ จัดขึ้นมาเป็นรูปแบบต่างๆ จนเลยเถิดไปเป็นเรื่องของวัตถุและลาภสักการะ ซึ่งประโยชน์ตกอยู่กับคนบางกลุ่ม หรือบางองค์กรที่ไม่ได้ทำงานในเชิงคุณภาพ ในที่สุดก็สร้างปัญหาให้กับวงการพระพุทธศาสนา

และสำหรับคนฮินดูในบางพื้นที่ เขากลับเข้าใจพุทธศาสนาดีมาก เขารู้เลยว่านักบวช สมณะ ต้องวางตัวอย่างไร...

“ผู้นำ” ทางจิตวิญญาณ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงต้องมี “การลงมือปฏิบัติจริง” มีความประพฤติที่ “สะอาด บริสุทธิ์” เพราะการจะทำให้เกิดผล เกิดการยอมรับไม่ใช่เรื่องแค่การมานั่งพูดคุยเท่านั้น ต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติ ต้องลงไปอยู่กับพวกเขา ต้องทำให้เห็น

อย่างพระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติจนได้มรรคผลสูงสุด ก็ไม่ได้ทำแค่นั่งพูดนั่งสอน แต่ทรงให้ลงมือปฏิบัติ ทรงทำให้ดูในทุกๆขณะ ในทุกๆที่ ซึ่งนี่ก็คือหลักการสอนในพุทธศาสนา”

 

 

ความร่วมมือที่ได้รับจากรัฐบาลอินเดีย ในการเผยแพร่พุทธศาสนา

ทางรัฐบาลอินเดียเองก็มีความพร้อมมาก ที่จะสนับสนุนให้ผู้นำทางจิตวิญญาณได้ก้าวเข้ามาสู่ประเทศของเขาอย่างมีคุณภาพ เพราะอินเดียนั้นได้ชื่อว่าเป็น “Land of wisdom” เขาเปิดกว้าง ยอมรับเรื่องการพัฒนาจิตวิญญาณ มีการหลอมรวมหลักธรรม ที่จะนำพาไปสู่ “สันติภาพของโลก” ซึ่งมีอินเดียเป็นจุดศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่มากแห่งหนึ่ง

 

โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยท่านนายกฯ นเรนธรา โมดี  ได้ให้ความสนใจในพุทธศาสนา จนถึงกับประกาศเลยว่า จะทำให้พุทธคยาเป็น “เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณพุทธศาสนาของโลก” ซึ่งนี่คือนโยบายการพัฒนาศาสนาซึ่งเป็นนโยบายหลักอันหนึ่งของท่านโมดี เลยทีเดียว

 

ที่ที่อาตมาพักอยู่ก็คือเวฬุวัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของรัฐบาลอินเดีย โดยรัฐอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เข้าพักได้ มีกุฏิหลังเล็กๆอยู่ในเวฬุวันมหาวิหาร มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงสถานทูตและรัฐบาล รัฐมนตรีตลอดจนเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นของรัฐ มอบความศรัทธาเป็นศิษย์

ความสัมพันธ์เหล่านี้กลายเป็นความสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่กว่าการเดินทางมาเยือนอินเดีย ในรูปแบบที่เป็นทางการ ไม่ได้เข้าไปในลักษณะตัวแทนของกลุ่ม หรือหน่วยงานใดๆ ...  เพราะรูปแบบที่เป็นทางการเหล่านี้ ใช้ไม่ได้ในดินแดนที่ถูกเรียกว่า " Land of wisdom"

 

ทว่า... ที่พวกเขาให้การยอมรับนั้น เกิดขึ้นมาจาก “ความรู้สึก” ...ว่า นี่คือ "กูรูจี" ของพวกเขา

เพราะพวกเขาเห็นว่า อาตมาฉันข้าวของพวกเขา อยู่กับพวกเขา อำนวยพรพวกเขาให้อยู่ดีมีความสุขพ้นจากทุกข์ภัยทั้งมวล พวกเขาไม่ใช่ชาวพุทธ แต่ทว่าจิตวิญญาณของพุทธศาสนานั้นอยู่ในทุกๆ สรรพชีวิต อยู่ในจิตวิญญาณของชาวโลก

 

แล้วอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด ในการเผยแพร่ธรรมะและพุทธศาสนา ให้กว้างไกลออกไปในระดับโลก และเกิดประโยชน์ต่อชาวโลกมากที่สุด

 

ต้องเข้าใจตรงนี้ว่า ทุกๆ ชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ล้วนมีความเป็น “พุทธะ” อยู่ภายในจิตวิญญาณแต่ดั้งเดิมแล้วโดยปริยาย

อาตมาจึงมั่นใจว่าพุทธศาสนานั้นช่วยในเรื่องสันติภาพของโลกได้ ถ้ามีคนอย่างท่านฑูตอินเดียที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี มีคณะพวกเราทั้งหลายช่วยกันสนับสนุนเผยแพร่ มีคณะสงฆ์ที่ไม่ติดในรูปแบบ ไม่ถือติดอยู่กับสมณศักดิ์ ไม่ต้องมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นอันเต็มไปด้วยเงื่อนไขมากมายรุงรัง เพราะรูปแบบเหล่านี้คืออุปสรรคในการเข้าถึงธรรมะของพุทธศาสนา

จะมีเพียงแต่ “ความรู้ที่บริสุทธิ์” เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือ “พุทธศาสนา”

การไม่ติดอยู่กับรูปแบบ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของหลักการเผยแพร่พุทธศาสนาทางด้านจิตวิญญาณในภาคประชาชน

ซึ่งในรัฐบาลของท่านนายกฯ โมดี ก็เห็นความสำคัญในส่วนนี้ จึงพยายามนำสิ่งที่ดีงามซึ่งมีอยู่ในพุทธศาสนา เผยแพร่ออกไปให้ชาวโลกได้รู้