ลุ้นระทึก! "ดีเอสไอ" ตรวจสอบคดี "รถหรูสมเด็จช่วง" สำแดงเท็จ/หนีภาษี??? รับของโจรต้องปาราชิก

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 

ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากระบวนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจะต้องรอผลการตรวจสอบคดีรถหรูจากดีเอสไอเสียก่อน โดยในเบื้องต้นดีเอสไอคาดว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจพิสูจน์ประมาณ 1 เดือน

 

 

 


พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าไปตรวจสอบรถโบราณภายในพิพิธภัณฑ์ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก จึงไม่ได้เร่งรัด ไม่ได้ไปล้วงลูกข้าราชการ แต่คิดว่าเป็นเรื่องดี หากสังคมสงสัยอะไรแล้วสามารถตอบได้ ถ้าชัดเจน จะได้จบ         

 


เมื่อถามว่าแต่ฝ่ายที่สนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ มองว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการดิสเครดิต พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ถ้าจะคิดแบบนั้นก็คิดได้

 


แต่หากเรามองด้วยความเป็นธรรม เมื่อมีคนอื่นแคลงใจก็ควรให้ดำเนินการ ถ้าเรื่องมันถูกต้อง ไม่ผิดก็อย่าไปกลัว ไม่สมควรที่จะไปกลัว และทำเรื่องนี้ให้กระจ่างในสังคมและประเทศไทย เพื่อเป็นเครื่องยืนยันตัวเอง เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2556

 


จากการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวจากรมว.ยุติธรรม ก็ยิ่งชัดเจนว่าว่ากระบวนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจะต้องรอผลการตรวจพิสูจน์คดีรถหรูจากดีเอสไอ

 


ทั้งนี้กระบวนการตรวจสอบของดีเอสจะเริ่มต้นจากขั้นตอน การนำเข้าตั้งแต่กรมศุลกากร กรมสรรพาสามิต และกรมการขนส่งทางบก เบื้องต้นรถคันดังกล่าว สำแดงเป็นรถจดประกอบไม่ได้นำเข้าทั้งคัน แต่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ แล้วนำมาประกอบขึ้น

 


โดยมีวิศวกรรับรองความมั่นคงแข็งแรงว่ารถที่จดประกอบสามารถใช้งานได้ทั้งนี้ รถจดประกอบจะมีสัดส่วนภาษีต่างจากรถยนต์ที่นำเข้าทั้งคัน

 


หลังตรวจสอบเอกสารและชื่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วก็ต้องเรียกสอบปากคำไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกคน รวมถึงผู้ที่มีชื่อครอบครองรถคนปัจจุบันด้วย

 

สำหรับรถเบนซ์ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร เลขตัวถัง 18601400420/53 ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์นั้น ระบุเชื้อเพลิงเป็นแก๊ส เครื่องยนต์ 2995 ซีซี เลขเครื่องยนต์ 1869204500052 สีเหลืองจดทะเบียนนำเข้าเป็นรถจดประกอบจากชิ้นส่วนเก่าระหว่างปี 2554- 2555

 


โดยเมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้นำหมายค้นไปตรวจสอบ หจก.ซี.ที. ออโต้พาร์ท ย่านสัมพันธวงศ์ ซึ่งเอกสารระบุว่า เป็นผู้จำหน่ายตัวถังรถคันดังกล่าว บจ.คาร์โก้ คาร์ จำกัด ย่านบางพลัด มีชื่อเป็นผู้จำหน่าย เครื่องยนต์

 


หจก.เอช.ที.วาย ออโต้พาร์ท ย่านบางแค ซึ่งมีชื่อเป็นร้านประกอบรถยนต์โดยมีสภาพปิดร้าง และ เอ็น.พี.การาจ ย่าน ภาษีเจริญ ซึ่งจดทะเบียนเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อประกอบรถยนต์ มีใบอนุญาตถูกต้อง แต่จากสภาพที่พบเป็นเพียงอู่ซ่อมสี ไม่มีอุปกรณ์สำหรับประกอบรถยนต์

 


ทั้งนี้ในส่วนเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถที่มอบให้ดีเอสไอระบุว่า เป็นรถที่ประกอบขึ้น จากชิ้นส่วนอุปกรณ์รถเก่าเสียภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ให้กับสำนักงานสรรพสามิต พื้นที่กรุงเทพฯ 1 ต่อมาได้แจ้งไม่ขอใช้รถในปี 2556

 

 


อย่างไรก็ตามสำหรับประเด็นทางข้อกฎหมายที่จะต้องนำมาพิจารณาเป็นหลักก็คือการนำเข้าชิ้นส่วนของรถในอดีตได้ผ่านกระบวนการของศุลกากรอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ตามบทบัญญัติพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469
พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469

 


มาตรา 27 ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของ ต้องห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในพระราชอาณาจักรสยามก็ดี หรือส่ง หรือ พาของเช่นว่านี้ออกไปนอกพระราชอาณาจักรก็ดี หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ ในการนำของ เช่นว่านี้เข้ามา หรือส่งออกไปก็ดี หรือย้ายถอนไป หรือช่วยเหลือให้ย้ายถอนไปซึ่งของดังกล่าวนั้น จากเรือกำปั่น ท่าเทียบเรือ โรงเก็บสินค้า คลังสินค้า ที่มั่นคง หรือโรงเก็บของโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ดี หรือให้ที่อาศัยเก็บ หรือเก็บ หรือซ่อนของเช่นว่านี้ หรือยอม หรือจัดให้ผู้อื่นทำการเช่นว่านั้น ก็ดี หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการขนหรือย้ายถอน หรือกระทำอย่างใดแก่ของเช่นว่านั้น ก็ดี หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษี ศุลกากร หรือในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงบทกฎหมายและข้อจำกัดใด ๆ อันเกี่ยวแก่ การนำของเข้า ส่งของออก ขนของขึ้น เก็บของในคลังสินค้า และการส่งมอบของโดยเจตนาจะฉ้อ ค่าภาษีของรัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ ก็ดี หรือ หลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดี

 


สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ

ส่วนโทษทางข้อกฎหมายจะมีความเกี่ยวโยงกับโทษตามพระธรรมวินัยหรือไม่อย่างไรนั้น ก็มีการพิจารณาว่า กรณีการนำเข้าส่วนประกอบของรถ หากว่าผิดกฎหมายอาจจะเป็นฝ่ายของฆาราวาสหรือลูกศิษย์เป็นผู้ดำเนินการ แล้วนำมาถวายทำให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ไม่ทราบเรื่องนั้น
ในทางกฎหมายก็อาจจะถือว่าเป็นการรับของที่ผิดกฎหมายมาอีกต่อหรือรับของโจรหรือไม่

 


ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระ ทำความผิดถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีด เอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอกหรือ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจรต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้ง จำทั้งปรับ

 


ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำเพื่อค้ากำไร หรือได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตาม มาตรา 335 (10) ชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท

 


 ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำต่อทรัพย์ อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตาม มาตรา 335ทวิ การชิงทรัพย์ตาม มาตรา 339ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตาม มาตรา 340ทวิ ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่น บาทถึงสามหมื่นบาท
อย่างที่นำเรียนว่า ปัญหาคือใครเป็นผู้สั่งนำเข้ารถคันดังกล่าว ซึ่งเดิมทีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์อาจจะอ้างได้ว่าไม่รู้ว่ารถคันนี้นำเข้ามา โดยหนีภาษี หรือมีการสำแดงเท็จเพราะเป็น เรื่องของฆราวาส

 


แต่หากทราบแล้ว ไม่ส่งคืนรถให้ทางราชการจะถือว่า ยินดีรับไว้ ซึ่งผิดวินัยสงฆ์ต้องปาราชิกสิกขาบทที่ 2 ปรับอาบัติ เปรียบเทียบได้กับการรับของโจรของฆราวาส

 


ปาราชิกสิกขาบทที่ 2

โย ปะนะ ภิกขุ คามา วา อะรัญญา วา อะทินนัง…

“อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ประหารเสียแล้ว จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้างด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.”

 


คำว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ใบไม้เหลืองหล่นจากขั้นแล้ว ไม่อาจจะเป็นของเขียวสดขึ้นได้ แม้ฉันใดภิกษุก็ฉันนั้นแหละ ถือเอาทรัพย์อันเขาไมได้ให้ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย หนึ่งบาทก็ดี ควรแก่หนึ่งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ่งบาทก็ดี แล้วไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นการ กระทำผิดตามสิกขาบทดังกล่าวจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก

 


พิจารณาจากข้อกฎหมายและพระธรรมวินัยดังกล่าว ก็ต้องมาลุ้นกันว่าผลการตรวจสอบคดีของดีเอสไอจะเป็นอย่างไร ถ้าหากชี้ชัดว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์มีความผิดตามพรบ.ศุลกากรก็ดี ประมวลกฎหมายอาญา กรณีรับของโจรก็ดี ก็คงจะเป็นคำตอบสุดท้ายไปแล้วหรือไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะเสนอชื่อให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่