ลุ้นระทึกทุกฝีก้าว!! "พระธัมมชโย" จะอาบัติปาราชิกและขาดจากความเป็นพระหรือไม่!?

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 


ยังคงต้องจับตาไปที่อนาคตของพระธัมมชโยเจ้าอาวาสวัดธรรมกายต่อจากนี้ไปว่าจะต้องอาบัติปาราชิกและขาดจากความเป็นพระหรือไม่

 

 

 

 

 


หลังจากที่ล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ได้ส่งเรื่องไปให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อประสานไปยังมหาเถรสมาคมดำเนินการให้พระธัมมชโยขาดจากความเป็นพระ


ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ จะมีการประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งอาจจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวด้วย


นายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)กล่าวว่า พศ.ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วและก่อนหน้านี้ก็ได้มีการชี้แจงไปยังดีเอสไอแล้วบางส่วน เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวอย่างไรก็ตามในส่วนของพศ.ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลที่จะเตรียมชี้แจงต่อสาธารณชนโดยต้องขอหารือกับคณะทำงานและพระมหาเถระในกรรมการมส.อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะยังไม่ขอตอบอะไรในตอนนี้ดาดว่าอาจจะแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งในช่วงหลังประชุมมส.ในวันที่ 10 ก.พ.นี้


ส่วนกรณีที่ดีเอสไอระบุว่า พศ.และมส.เป็นเจ้าพนักงานและต้องปฏิบัติตามหน้าที่มิฉะนั้นจะมีความผิดตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ และพศ.จะดำเนินการอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว นายชยพล กล่าวว่า พศ.ถือเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วแต่ก็ต้องดูว่า มีอำนาจในเรื่องใด คำว่าละเว้นหรือไม่จะต้องมีอำนาจหน้าที่และไม่ดำเนินการ โดยจะต้องไปดูในเรื่องนั้นๆว่าพศ.มีอำนาจดำเนินการแค่ไหน ส่วนมส.ก็เช่นกันก็ต้องไปดูอำนาจหน้าที่ในเรื่องนั้นแค่ไหน การจะทำอะไรหากทำนอกอำนาจหน้าที่ไม่ได้อยู่แล้ว


"ผมได้พูดคุยกับทางดีเอสไอไปบางส่วนแล้วโดยมีการซักถามเพื่อความเข้าใจว่าทางดีเอสไอยังไม่เข้าใจตรงไหนเพื่อที่พศ.จะได้ทำคำชี้แจงไปให้ทราบ ส่วนกรณีที่หน่วยงานราชการจะชี้ว่าพระรูปไหนปาราชิกนั้นก็ต้องให้ผู้ใช้กฏหมายและพระธรรมวินัยเป็นผู้ชี้คือ คณะสงฆ์ แต่หากหน่วยงานไหนเห็นแย้งก็ทำได้ก็ต้องมาถามผู้ใช้กฎหมายให้เป็นผู้ชี้ขาด"


ก่อนหน้านี้ทางสำนักข่าวทีนิวส์ได้นำเสนอให้กับคุณผู้ชมได้รับทราบไปแล้วว่าตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎมหาเถรสมาคม หากจะมีกระบวนการเพื่อลงโทษหรือว่าลงนิคหกรรมกับพระธัมมชโย ซึ่งมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ก็จะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้


กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
ข้อ ๙ การลงนิคหกรรมเกี่ยวกับความผิดของพระภิกษุทรงสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นต่างๆ ถ้าเป็น

             (๑) พระราชาคณะชั้นสามัญหรือชั้นราช ซึ่งดำรงตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าคณะจังหวัดหรือมิใช่ผู้ปกครองสงฆ์ ให้นำความในข้อ ๗ (๔) มาใช้บังคับโดยอนุโลม

             (๒) พระราชาคณะชั้นเทพ ซึ่งดำรงตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าคณะภาค หรือมิใช่ผู้ปกครองคณะสงฆ์ ให้นำความในข้อ ๗ (๕) มาใช้บังคับโดยอนุโลม

             (๓) พระราชาคณะชั้นธรรมขึ้นไป ซึ่งดำรงตำแหน่งปกครองสงฆ์หรือมิใช่ผู้ปกครองสงฆ์ ให้นำความในข้อ ๗ (๗) มาใช้บังคับโดยอนุโลม

        ในกรณีดังกล่าวข้างต้น ถ้าพระราชาคณะรูปนั้นดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาส ให้เจ้าอาวาสเจ้าสังกัดเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกรูปหนึ่งเฉพาะในกรณีไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรม


ปัจจุบันพระธัมมชโย อยู่ในตำแหน่ง พระเทพญาณมหามุนี หรือเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ก็จะต้องนำเอาข้อ 9 (2) มาบังคับใช้ ซึ่งระบุว่า ให้นำความในข้อ ๗ (๕) มาใช้บังคับโดยอนุโลม


ข้อ ๗ การลงนิคหกรรมเกี่ยวกับความผิดของพระภิกษุผู้ปกครอง ซึ่งดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(๕) เจ้าคณะจังหวัด หรือรองเจ้าคณะภาค

ก. ถ้าความผิดนั้นเกิดขึ้นในเขตภาคสังกัดอยู่ ให้เป็นอำนาจของเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัดเป็นผู้พิจารณา ส่วนในกรณีไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น ให้เป็นอำนาจของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งประกอบด้วย เจ้าคณะใหญ่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ เจ้าคณะภาคเจ้าสังกัด ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะใหญ่เลือกเจ้าคณะภาคในหนนั้นเข้าร่วมอีก ๑ รูป

ข. ถ้าความผิดนั้นเกิดขึ้นในเขตจังหวัดที่มิได้สังกัดอยู่ ให้เป็นอำนาจเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัดเป็นผู้พิจารณา ส่วนในกรณีไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น ให้เป็นอำนาจของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งประกอบด้วย เจ้าคณะใหญ่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ เจ้าคณะภาคเจ้าสังกัด ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะใหญ่เลือกเจ้าคณะภาคในหนนั้นเข้าร่วมอีก ๑ รูป


ทั้งนี้จากการตรวจสอบของสำนักข่าวทีนิวส์พบว่าเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งอยู่ในเขตปกครองจังหวัดปทุมธานี ที่ตั้งของวัดพระธรรมกายก็คือ


เจ้าคณะภาค 1 คือ
พระราชวิสุทธิเวที
(สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9)
วัดชนะสงคราม
แขวงชนะสงคราม
เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร 10200

เขตปกครอง 4 จังหวัด
ประกอบด้วย
นนทบุรี
ปทุมธานี
สมุทรปราการ
กรุงเทพมหานคร


เมื่อพิจารณาจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎมหาเถรสมาคมก็เป็นที่ชัดเจนว่าภาระหน้าที่อันสำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มต้นว่าพระธัมมชโยต้องขาดจากความเป็นพระหรือไม่คือการวินิจฉัยโดยพระราชวิสุทธิเวทีเจ้าคณะภาค 1 จากวัดชนะสงคราม


ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ก็มีการวิการวิพากษ์วิจารย์เกี่ยวกับพระรูปนี้มาโดยตลอดว่าเป็นพระหนุ่มที่มีสมณศักดิ์และมีตำแหน่งเกินวัย


ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความฟอนเฟะของวงการพระพุทธศาสนาไทยที่มีการเล่นพรรคพวกและพยายามไต่เต้าขึ้นไปมีตำแหน่งสมณศักดิ์ที่สูงโดยไม่ได้สนใจที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาตามแนวทางที่ถูกต้อง


มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 11/2554 วันที่ 20 เมษายน พุทธศักราช 2554 ที่เห็นชอบการแต่งตั้งให้พระโสภณปริยัติเวทีและพระศรีศาสนวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 โดยยังเป็นเพียงพระราชาคณะชั้นสามัญเท่านั้น


ในขณะนั้น พระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9) อายุ 45 ปี พรรษา 25 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม และรองเจ้าคณะภาค 1 ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แทนพระพรหมโมลีซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แทนสมเด็จพระมหาธีราจารย์ซึ่งมรณภาพไป


มติมหาเถรสมาคมดังกล่าวมานี้ ชี้ให้เห็นว่า มหาเถรสมาคมไม่ใช้หลักคุณธรรมนำหน้าในการพิจารณาตัวบุคคลที่จะเข้ามาบริหารกิจการคณะสงฆ์ แต่กลับนำเอา "ระบบโควต้า" มาใช้แทน แบบว่าถ้าใครเป็นเจ้าคณะใหญ่หนไหน ก็สามารถจะเอาใครก็ได้มาดำรงตำแหน่งในขอบเขตการบริหารของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงว่าพระภิกษุรูปนั้นจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่หรือไม่


คำว่า "หลักคุณธรรม" นั้นก็คือ ความอาวุโสและความรู้ความสามารถในการบริหารการปกครองนั่นเอง คำว่าอาวุโสยังแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คืออาวุโสด้านอายุพรรษาในสมณเพศ อาวุโสด้านสมณศักดิ์ และอาวุโสในการบริหารงาน หรือกล่าวให้กระชับก็คือว่า ประสบการณ์หรือฝีมือในการทำงาน


พระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9)
อายุ 45 พรรษา 25 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 เป็นรองเจ้าคณะภาค 1 เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2553 และเป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554 ทั้งยังมีฐานะเป็นเพียงผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามเท่านั้น


ซึ่งเมื่อนำเอาคุณสมบัติทั้งปวงมาพิจารณาเทียบกับคุณสมบัติของพระเถระผู้ควรแก่การขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะ ก็เห็นว่า "ไม่เหมาะสมโดยประการทั้งปวง" ไม่ว่าจะโดยอายุพรรษา โดยสมณศักดิ์ หรือโดยอาวุโสในการบริหารงานก็ตาม กล่าวได้แต่เพียงว่า "เป็นพระเด็กๆ" ขาดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งในคณะภาคหนึ่งอันเอกอุดังกล่าว


จึงมีความสงสัยใน "วิจารณญาณ" ของคณะกรรมการมหาเถรสมาคมชุดซึ่ง อันมี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ว่ามหาเถรสมาคมได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาให้เหมาะสมแก่เหตุผลหรือไม่เพียงใด ในการแต่งตั้งให้พระเด็กๆ ขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญสูงสุดในคณะสงฆ์ไทยดังกล่าว


เมื่อมติมหาเถรสมาคมดังกล่าวแพร่ออกไปสู่สาธารณชน ก็เกิดเสียงวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมไม่ชอบธรรมของมติดังกล่าว และเมื่อสาวลึกลงไปถึงคุณสมบัติของพระที่ได้รับแต่งตั้งแล้ว ก็ยิ่งเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องด้านวิจารณญาณของกรรมการมหาเถรสมาคมอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้


ความไม่เหมาะสม และความไม่ชอบธรรม ดังกล่าวมานั้น ก่อให้เกิดกระแสไม่ยอมรับการแต่งตั้ง (รวมทั้งการบริหารการปกครอง) โดยพระภิกษุ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การปกครองของคณะสงฆ์ไทย บางคนถึงกับประณามมติมหาเถรสมาคมครั้งนี้ว่าเป็น "มติอัปยศ" ด้วยซ้ำ


ความสำคัญของเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งในบรรดาผู้ปกครองระดับภาคทั้ง 18 ภาคในประเทศไทยเรานี้ เจ้าคณะภาค 1 ถือว่าเป็นภาคสำคัญที่สุด เพราะปกครองกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เทียบทางฝ่ายทหารก็เท่ากับกองพลที่ 1 รักษาพระองค์เลยทีเดียว ดังนั้น การจะคัดคนเข้าดำรงตำแหน่งนี้จึงต้องพิถีพิถันอย่างยิ่ง มากกว่าทุกภาคในประเทศไทย คือต้องแก่ทั้งอายุพรรษา บารมี และมีประสบการณ์ในการบริหารการปกครองอย่างหาตัวจับได้ยาก


ดังกรณีพระพรหมโมลีเอง กว่าจะได้เป็นเจ้าคณะภาค 1 นั้น ก็ต้องดำรงสมณศักดิ์ถึงชั้นธรรม แถมยังผ่านการบริหารในระดับเจ้าคณะภาคมาก่อน เคยเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมชั้นสูง (ป.ธ.7-8-9) ของคณะสงฆ์ที่วัดสามพระยาอีกต่างหาก แล้วถามว่าพระโสภณปริยัติเวทีมีอะไร การตั้งให้พระโสภณปริยัติเวทีพระราชาคณะชั้นสามัญขึ้นเป็นเจ้าคณะภาค 1 ในครั้งนี้ จึงเท่ากับตั้งทหารระดับนายพันขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งมองยังไงก็ไม่เหมาะสม


ในกรุงเทพมหานครนั้น มีวัดพระอารามหลวงอยู่มากมาย มีพระราชาคณะผู้ใหญ่นับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ ชั้นธรรม ชั้นเทพ ชั้นราช ฯลฯ และเจ้าอาวาสพระอารามหลวงอยู่นับไม่ถ้วน พระภิกษุผู้ควรดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาคหนึ่ง


ซึ่งจะคุมโซนกรุงเทพมหานครนั้น จึงต้องมีสมณศักดิ์ระดับสูง และเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงด้วย การใช้อำนาจในการบังคับบัญชาหรือสั่งงานก็จะเกิดศักดิ์และสิทธิ์ มีผู้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม แต่พระโสภณปริยัติเวที นอกจากจะเป็นเพียงพระราชาคณะชั้นสามัญแล้ว ก็ยังเป็นเพียง "ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม" ซึ่งมองยังไงก็ไม่เหมาะสม ทำนองชิงสุกก่อนห่าม เป็นมะม่วงบ่มแก๊ส ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 มิใช่ตำแหน่งพระครูปลัดที่จะแต่งตั้งเณรหัวขี้กลากที่ไหนเป็นก็ได้


เพราะฉะนั้นเมื่อได้ไล่เรียงดูประวัติของพระราชวิสุทธิเวที ซึ่งปัจจุบันได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะภาคที่ 1 และ จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นจุดเริ่มต้นที่จะพิจารณาว่าพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิดหรือไม่ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพระราชวิสุทธิเวทีจะตัดสินใจอย่างไร


แต่ถ้าพิจารณาจากที่มาในการก้าวขึ้นมาในตำแหน่งเจ้าคณะภาคที่ 1 แล้วก็น่าจะไม่มีการดำเนินการใดๆกับพระธัมมชโยซึ่งอาจจะทำให้เจ้าคณะภาค 1 ถูกดำเนินคดี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ใช่หรือไม่